เจ้าของธุรกิจเครื่องสำอางกว่า 20 แบรนด์ ร้องผู้การกองปราบช่วย หลังถูกหลอกลงทุนโปรโมตสินค้าในประเทศ AEC สุดท้ายเชิดเงินเงียบหาย ลอยแพผู้ลงทุน เสียหายกว่า 30 ล้านบาท

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 4 พ.ค.60 ที่กองบังคับการปราบปราม น.ส.อ้อย (นามสมมติ) ตัวแทนบริษัทเครื่องสำอางยี่ห้อหนึ่ง พร้อมด้วยเจ้าของธุรกิจความงามกว่า 20 ราย เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผบก.ป. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ น.ส.วัชรียา รงค์เดชประทีป อายุ 45 ปี เจ้าของบริษัท โอเคช็อปปิ้ง ซึ่งเป็นธุรกิจเกี่ยวกับการโปรโมตสินค้า ในข้อหา “ฉ้อโกง” หลังหลอกลวงผู้เสียหายหลายรายให้ลงทุนโปรโมตธุรกิจแล้วไม่สามารถทำให้ได้ตามที่ตกลง จนทำให้เกิดความเสียหายกว่า 30 ล้านบาท โดยนำเอกสารหลักฐาน เช่น หนังสือทำสัญญาลงทุน หลักฐานการโอนเงิน มามอบให้พนักงานสอบสวนเพื่อประกอบสำนวนคดี

น.ส.อ้อย เปิดเผยว่า รู้จักกับบริษัทดังกล่าวเมื่อประมาณเดือนพฤศจิกายน ปี 2559 โดยได้รับคำแนะนำมาจากเพื่อนสนิท จึงได้เข้าไปศึกษาข้อมูลทางเฟซบุ๊กของบริษัท พร้อมติดต่อสอบถามรายละเอียดไปยังบริษัท ทราบว่าบริษัทดังกล่าวรับเป็นผู้โปรโมตสินค้าและกระจายการขายสินค้าในแถบอาเซียน เช่น ลาว, พม่า, เวียดนาม เป็นต้น ผู้ที่สนใจจะต้องสมัครค่าแรกเข้าเป็นเงิน 178,000 บาท จะได้รับการนำสินค้าไปโปรโมตตามประเทศที่ตกลงก่อนหน้านี้ โดยการนำสินค้าไปวางจำหน่ายที่หน้าร้านของบริษัทที่ตั้งอยู่ในประเทศนั้น

น.ส.อ้อย กล่าวต่อว่า หลังจากได้เซ็นสัญญาสมัครสมาชิกพร้อมจ่ายเงิน จนนำสินค้าประเภทเครื่องสำอาง รวมมูลค่าประมาณ 8 แสนบาท ไปมอบให้กับบริษัทเพื่อนำไปโปรโมตและขายในต่างประเทศ ในระยะเวลา 3 เดือนแรก ได้รับเงินจากการขายสินค้าเพียงหลักหมื่น ถือว่าน้อยมากกับเงินลงทุนและผลตอบแทนที่ทางบริษัทกล่าวอ้าง อีกทั้งบริษัทได้ชักชวนให้ซื้อแพ็กเกจเสริมในราคา 2 ล้านบาท เพื่อเป็นการซื้อสื่อในต่างประเทศเพิ่ม และการันตีค่าตอบแทน 200% แต่ตนไม่ได้ตัดสินใจซื้อแพ็กเกจดังกล่าวเพิ่ม เนื่องจากบริษัทมีการเร่งรัดในการจ่ายเงินลงทุนเร็วเกินไป

...

น.ส.อ้อย กล่าวต่ออีกว่า หลังจาก 3 เดือนผ่านไป บริษัทกลับไม่จ่ายเงินในการขายสินค้าให้ จึงได้ติดต่อสอบถามไป ได้รับการบ่ายเบี่ยงอ้างว่าอยู่ต่างประเทศ จนกระทั่งติดต่อไม่ได้อีกเลย ตนจึงได้เดินทางไปยังบริษัทดังกล่าวที่ตั้งอยู่ในย่านวัชรพล เป็นตึกแถว 3 ชั้น ด้านล่างเปิดเป็นสำนักงาน ส่วนชั้นบนเป็นที่เก็บของ ไปถึงพบว่าไม่มีใครอยู่ในตึกแล้ว สอบถามทางเจ้าของตึกทราบว่าบริษัทดังกล่าวค้างค่าเช่ามา 3 เดือนแล้ว ติดต่อทวงเงินไปก็อ้างเช่นเดียวกันคืออยู่ต่างประเทศ

“อยากจะฝากเตือนไปยังนักธุรกิจหน้าใหม่ให้ทราบถึงกลการหลอกลวงที่มาในหลายรูปแบบ ขอให้ระวังตัวและระมัดระวังในการตัดสินใจในการลงทุนโปรโมตสินค้า เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ” น.ส.เอ กล่าวเตือนนักธุรกิจน้องใหม่

เบื้องต้น พล.ต.ต.สุทิน ได้สั่งการให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำผู้เสียหายที่เดินทางมาทั้งหมดในวันนี้ และเก็บเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่ผู้เสียหายนำมา เพื่อประกอบสำนวน ก่อนที่จะเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องมาสอบปากคำเพิ่มเติม.