แม่ทัพภาค 4 ร่วมตำรวจปัตตานี ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยป่วนลอบวางระเบิดเสาไฟฟ้าหลายจุดในพื้นที่ ซัดทอดแกนนำสั่งการ-สถานที่กบดาน ก่อนนำกำลังรวบได้คาปอเนาะ พร้อมนำตัวขยายผลในค่ายทหาร

เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 60 ที่ สภ.ยะรัง จ.ปัตตานี พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช มทภ.4 พล.ต.ท.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบช.ศชต. พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผบก.ภ.จว.ปัตตานี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ร่วมกันสอบสวนขยายผลและแถลงการจับกุมผู้ต้องสงสัย 2 คน ที่ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวเมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา ในคดีลอบวางระเบิดเสาไฟฟ้าเมื่อวันที่ 6 เม.ย. และจะเชื่อมโยงในคดีปาระเบิดหลายจุดเมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา

จากการสอบสวนขยายผล หนึ่งในผู้ต้องสงสัยให้การรับสารภาพว่า อยู่ในกลุ่มที่ร่วมก่อเหตุลอบวางระเบิดเสาไฟฟ้าในพื้นที่ อ.ยะรัง จำนวน 9 จุด และมีการซัดทอดไปยังกลุ่มบุคคลอื่นๆ อีกหลายคนที่ร่วมกันก่อเหตุ โดยเฉพาะแกนนำระดับสั่งการ รวมถึงสถานที่ในการวางแผนก่อเหตุและหลบซ่อนตัว พล.ท.ปิยวัฒน์ จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่เตรียมกำลังความพร้อมแล้วให้ผู้ต้องสงสัยพาไปตรวจค้นและจับกุมที่โรงเรียนสอนศาสนาแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.ยะรัง

เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ไปถึงผู้ต้องสงสัยชี้ตัวให้จับกุมผู้ต้องสงสัยอีก 1 คน ซึ่งเป็นนักศึกษาอยู่ที่โรงเรียนดังกล่าว โดยถูกซัดทอดว่าเป็นแกนนำสั่งการในการก่อเหตุลอบวางระเบิดเสาไฟฟ้า จากนั้นตรวจค้นหอพักแต่ไม่พบหลักฐาน เจ้าหน้าที่จึงนำตัวไปเก็บดีเอ็นเอและวัตถุพยานต่างๆ เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับหลักฐานจากที่เกิดเหตุว่าตรงกันหรือไม่ รวมถึงคดีอื่นๆ ที่เกิดขึ้น จากนั้นจึงควบคุมตัวตามกฎอัยการศึก เพื่อทำการสอบสวนขยายผลที่ศูนย์ซักถามที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร ปัตตานี

พล.ท.ปิยวัฒน์ เปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุลอบวางระเบิดเสาไฟฟ้า เจ้าหน้าจับกุมผู้ต้องสงสัยแล้ว 15 ราย ออกหมายจับ 1 ราย โดยรายล่าสุดที่นำตัวมาแถลงครั้งนี้ รับสารภาพและให้การที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีอย่างมาก ทำให้เจ้าหน้าที่รู้ตัวผู้ที่เกี่ยวข้องอีกหลายคน รวมถึงการยึดของกลางที่เกี่ยวข้องกับการลอบวางระเบิดได้หลายรายการ สำหรับการสอบปากคำผู้ต้องสงสัยให้การว่า ส่วนใหญ่ผู้ที่ก่อเหตุเป็นเยาวชนรุ่นใหม่ที่หลงผิด ถูกกลุ่มขบวนการหลอกและบังคับให้ไปร่วมก่อเหตุ บางคนคึกคะนองกับการกระทำ แต่ยอมรับว่ามีการประสานมาเพื่อขอมอบตัวซึ่งเป็นเรื่องที่ดี ทางรัฐก็ดำเนินการตารมกระบวนการยุติธรรม แต่ก็ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน เพราะประเทศไทยมีกฎหมาย

...

ส่วนการดูแลความปลอดภัย มีการปรับแผนยุทธศาสตร์การปฏิบัติที่เข้มข้นกว่าเดิม ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น แต่ยอมรับว่าสถานการณ์ยังต้องเฝ้าระวัง หากทุกฝ่ายบูรณาการการทำงาน เชื่อว่าเหตุความรุนแรงลดลงแน่นอน.