อุทธรณ์ยืนยกฟ้อง “ชัจจ์” หมิ่น “สมยศ” ชี้ข้อความเป็นการเปรียบเทียบตามคติธรรม “ชัจจ์” เอาคืนยื่นฟ้องเท็จกลับ “สมยศ” ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องนัดแรก 24 เม.ย.นี้
เมื่อเวลา 10.45 น. วันนี้ 10 เม.ย.60 ที่ ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาอุทธรณ์คดีหมายเลขดำ อ.1396/2556 ที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร. เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก อดีต รมช.มหาดไทย และอดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328
ตามฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 11 เมษายน 56 บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า วันที่ 20-25 มกราคม 56 พล.ต.ท.ชัจจ์ จำเลย ให้สัมภาษณ์ หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก ฉบับวันที่ 25 มกราคม 56 และให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนโดยมีเจตนาให้บุคคลอื่นเข้าใจว่า โจทก์เป็นคนไม่ดี และใช้อำนาจในทางที่ผิด ทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมาย และให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาลงใน นสพ.คม ชัด ลึก และ นสพ.ผู้จัดการ ด้วย ขณะที่จำเลยให้การปฏิเสธ
โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2559 ว่า ขณะเกิดเหตุโจทก์รับราชการตำรวจตำแหน่งรอง ผบ.ตร. จำเลยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 53 นางวิมลรัตน์ กุลดิลก ภรรยาจำเลยเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ กับพวกรวม 10 คน ต่อศาลแพ่งเป็นคดีหมายเลขดำ ที่ 830/2553 ขอให้เพิกถอนการโอนหุ้นบริษัท แอสเซ็ทมิลเลี่ยน จำกัด ระหว่างโจทก์กับพวก ต่อมาจำเลยได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนทำนองว่าโจทก์มีการใช้ลูกน้องไปทำให้นายโดนัล เอียน แม็กเบล พยานชาวออสเตรเลีย ในคดีเพิกถอนการโอนหุ้นถูกขึ้นบัญชีห้ามเดินทางเข้ามาในประเทศไทย และข้อความทำนองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากความละโมบของคนบางคนที่ไม่รู้จักพอ
นั้นศาลเห็นว่าข้อความดังกล่าวของจำเลยเป็นการพูดเพื่อปกป้องรักษาสิทธิในทางคดี เป็นการแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริตด้วยความชอบธรรม ป้องกันส่วนได้ส่วนเสียของตนเอง จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามมาตรา 329 (1) พิพากษายกฟ้อง
...
โดย ต่อมา พล.ต.อ.สมยศ ยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษากันแล้วเห็นว่า ตามทางนำสืบอ้างถึงข้อความที่มีการเผยแพร่ใน นสพ.คมชัดลึก ที่ทำให้บุคคลอื่นเข้าใจว่าโจทก์ใช้บริวารและอำนาจทำให้ผู้ตรวจบัญชีเกี่ยวกับคดีหุ้นของภรรยาจำเลยถูกขึ้นบัญชีดำ ไม่สามารถเข้าประเทศได้ และยังมีข้อความปรากฏในสำนักข่าวอิศราทำนองว่าเป็นความละโมบโลภมากของคนที่ไม่รู้จักพอ ... ซึ่งโจทก์เบิกความเป็นพยานเองระบุว่าจำเลยให้สัมภาษณ์หมิ่นประมาท ขณะที่จำเลยให้การว่า ไม่เคยให้สัมภาษณ์ด้วยข้อความลักษณะดังกล่าว โดยโจทก์ได้มีผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรามาเป็นพยาน ซึ่งได้ตอบคำถามค้านระบุว่า ได้ใช้โทรศัพท์มือถือพร้อมระบุหมายเลข โดยสัมภาษณ์จำเลยเมื่อวันที่ 25 มกราคม 56 และรับว่าข้อความส่วนหนึ่งก็คัดลอกมาจาก นสพ.คมชัดลึก แต่ไม่รู้ว่า นสพ.คมชัดลึก สัมภาษณ์มาเองหรือไม่
ขณะที่ฝ่ายจำเลยได้ต่อสู้ว่าโดยปกติตนไม่ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ แต่หากมีการใช้โทรศัพท์จะเป็นเพียงการแจ้งหมายสำคัญ
โดยจำเลยยังมีผู้จัดการค่ายโทรศัพท์เป็นพยานเบิกความถึงการใช้หมายเลขโทรศัพท์ของผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศราว่า หมายเลขโทรศัพท์ที่อ้างถึงนั้น ครั้งแรกมีการลงทะเบียนเมื่อเดือน มีนาคม 55 ในชื่อบุคคลอื่น กระทั่งมีการยกเลิกไปเมื่อ พฤศจิกายน 55 แล้วมาจดทะเบียนในชื่อของผู้สื่อข่าวอิศราเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 56
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า ตามบันทึกการใช้หมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวมีพิรุธ ยังไม่แน่ว่าผู้สื่อข่าวอิศราได้ใช้โทรศัพท์โทรสัมภาษณ์จำเลยเมื่อวันที่ 25 มกราคม 56 หรือไม่ ซึ่งผู้จัดการบริษัทมือถือได้เบิกความระบุว่า ระหว่างที่มีการปิดหมายเลขเดือน พฤศจิกายน 55 ถึงวันจดทะเบียนใหม่ 4 มีนาคม 56 ไม่ปรากฏว่ามีการแจ้งลงทะเบียนใช้หมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าว
ส่วนข้อความที่มีการอ้างถึงตามฟ้องนั้นก็เป็นข้อความเชิงเปรียบเทียบตามคติธรรม ตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย อีกทั้งถ้อยคำไม่ได้ระบุชื่อโจทก์ชัดแจ้ง และปรากฏว่าระหว่างนั้นได้มีข้อพิพาทเกี่ยวกับคดีการโอนหุ้นระหว่างโจทก์และตัวภรรยาจำเลย ดังนั้นการสัมภาษณ์ของจำเลยจึงเป็นการแสดงความเห็นเพื่อความเป็นธรรม ปกป้องสิทธิประโยชน์ตามมาตรา 329 (1) ประกอบกับยังได้ความจากการถามค้านพยานเกี่ยวกับการสัมภาษณ์ของผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศราที่ยอมรับว่าได้คัดลอกส่วนหนึ่งมาจาก นสพ.คมชัดลึก ดังนั้นข้อความที่ระบุว่าเป็นความละโมบนั้น อาจเกิดจากการสรุปความของผู้สื่อข่าวเอง พยานหลักฐานโจทก์จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามฟ้อง อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนให้ยกฟ้องตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จากนั้น พล.ต.ท.ชัจจ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังจากศาลอุทธรณ์ยกฟ้องในคดีว่า ตนได้ดำเนินการฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ กลับในความผิดฐานฟ้องเท็จ และเบิกความเท็จไปแล้ว โดยขณะนี้ขั้นตอนอยู่ระหว่างการนำพยานเข้าไต่สวนมูลฟ้องว่าคดีมีมูลที่ศาลจะประทับรับฟ้องไว้พิจารณาหรือไม่ ส่วนคดีระหว่างภรรยาตนกับ พล.ต.อ.สมยศ เรื่องหุ้นก็มีจบลงไปหลายคดีแล้วที่ผ่านมาคดีไหนสามารถไกล่เกลี่ยได้ ศาลก็พยายามไกล่เกลี่ย โดยภรรยาของตนพยายามที่จะมาทุกนัดที่มีการไกล่เกลี่ย แต่เป็นฝ่าย พล.ต.อ.สมยศ ที่ไม่ค่อยจะมาตอนที่นัดไกล่เกลี่ยกัน โดยขณะนี้ตนก็ยังมีคดีเกี่ยวกับเรื่องการแจ้งทรัพย์สินอันเป็นเท็จที่อยู่ระหว่างการสอบสวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หลายคดี ที่จำได้ก็ 6 คดีมีของตนเอง 3 คดี และร่วมกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อีก 3 คดี ส่วนหากจะมีการเลือกตั้งในอีก 1-2 ปี ตนก็ขอเคลียร์คดีให้หมดก่อน ตอนนี้เบื่อการเมืองมาก ตนก็อายุตั้ง 74 ปีแล้ว คงเคลียร์คดีได้หมดก่อนตาย
...
ส่วน นายธนิตศักดิ์ รุ่งพิสุทธิ์โสภณ ทนายความของ พล.ต.ท.ชัจจ์ ได้กล่าวถึงคดีที่ได้ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ กลับ ในข้อหาฟ้องเท็จต่อศาลอาญาว่า พล.ต.ท.ชัจจ์ ได้มอบอำนาจให้ยื่นฟ้องคดีดังกล่าวเมื่อช่วงต้นปี 60 ที่ผ่านมา โดยยื่นฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ, ทนายความ และผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา เป็นจำเลยต่อศาลอาญา ซึ่งศาลเคยนัดให้จำเลยมาพบกับโจทก์เพื่อไกล่เกลี่ยก่อนการไต่สวนมูลฟ้องแล้วถึง 2 ครั้ง แต่ พล.ต.อ.สมยศ ไม่ได้เดินทางมา คงมีแต่เพียงผู้สื่อข่าวที่ถูกฟ้องร่วมด้วยเท่านั้นที่มาศาล เมื่อยังไม่สามารถดำเนินการไกล่เกลี่ยได้ ศาลอาญาจึงนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ครั้งแรกในวันที่ 24 เมษายน นี้.