ศาลอนุมัติหมายจับแล้ว ปลัด, ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน พร้อมพวก รวม 5 คน หิ้วชายจากบ้านขึ้นรถ ซ้อมดับ-ฝังอำพราง หนึ่งในคนร้ายทนกดดันไม่ไหว เปิดปากเล่าเหตุการณ์

วันที่ 29 ธันวาคม 2568 จากกรณี น.ส.นรกมล ชูจันทร์ อายุ 22 ปี ร้องสื่อขอความช่วยเหลือ ติดตามตัวนายทรงพล ธารารักษ์ 49 ปี ซึ่งถูกกลุ่มบุคคล จำนวน 5 คน ใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะและมีอาวุธปืน บุกเข้าไปอุ้มนายทรงพล ออกจากบ้านพัก พื้นที่ ต.ท่าชนะ อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ตั้งแต่กลางดึกวันที่ 26 ธ.ค. และไม่สามารถติดต่อได้อีก สอบถามไปยังกลุ่มคนดังกล่าวอ้างว่าได้นำตัวไปปล่อยทิ้งไว้ ในพื้นที่ ต.สมอทอง โดยทางญาติได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ ไว้ที่ สภ.ท่าชนะ ต่อมา ตำรวจสภ.ท่าชนะ ได้นำตัวผู้ต้องสงสัยมาสอบสวนปากคำเพื่อเค้นหาความจริง แต่ยังไม่มีความคืบหน้า ขณะที่ยังคงมีการระดมกำลังเจ้าหน้าที่ค้นหาตัวนายทรงพล อย่างต่อเนื่อง

อ่านต่อ : พบศพชายวัย 43 ปี เสียชีวิตในบ่อน้ำ หลังลูกสาวเข้าแจ้งความ พ่อถูกบุกอุ้มหาย

ต่อมา เจ้าหน้าที่ได้เบาะแสว่า พบศพเพศชายไม่ทราบชื่อ บริเวณบ่อน้ำหลังบ้านเลขที่ 93 ม.1 ต.สมอทอง อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี คาดว่าเป็นนายทรงพล จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ก่อนเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ เบื้องต้น ญาติยืนยันว่า ผู้เสียชีวิตที่พบ คือ นายทรงพล เบื้องต้นพบรอยฟกช้ำที่บริเวณดวงตาทั้ง 2 ข้าง มีบาดแผลฉีกขาดที่หน้าผาก รอยถูกของแข็งไม่มีคม และมีบาดแผลถลอกบริเวณหน้าอก ตามร่างกายมีบาดแผลฟกช้ำหลายจุด จึงนำร่างส่งตรวจชันสูตรที่นิติเวชโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิต

จากนั้น พ.ต.อ.ไพศาล สังข์เทพ รอง ผบก.จว. สุราษฎร์ธานี เผยว่า ก่อนหน้านี้ได้เชิญตัวผู้ต้องสงสัยจำนวน 5 คน ประกอบด้วยปลัดอำเภอ 1 คน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน 1 คน และ อส. 3 คน มาซักถามปากคำ แต่ทั้งหมดให้การปฏิเสธเพียงแต่ยอมรับว่าเป็นผู้นำผู้เสียชีวิตไปจากบ้านพักจริง เนื่องจากต้องสงสัยว่าเป็นผู้ขโมยพระเครื่อง และยืนยันว่าเมื่อสอบถามแล้วผู้ตายไม่ได้ขโมยพระเครื่อง จึงได้นำตัวกลับไปส่งที่บ้าน ทำให้ตำรวจต้องปล่อยตัวผู้ต้องสงสัยทั้งหมดกลับไป อย่างไรก็ตาม เช้านี้ได้เร่งรัดให้พนักงานสอบสวน สอบปากคำผู้เสียหาย เพื่อสรุปสำนวนขอศาลจังหวัดไชยาออกหมายจับผู้ต้องหา คาดว่าไม่เกินบ่ายวันนี้

...


เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายจุมพฏ วรรณฉัตรสิริ ผวจ.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า หลังปรากฏข่าวสารทางสื่อมวลชน ได้มีคำสั่งให้นายสำนวน ทองศรี นายอำเภอท่าชนะ รายงานข้อเท็จจริง และเบื้องต้นเชื่อว่าผู้ร่วมก่อเหตุในครั้งนี้มีปลัดอำเภอ และ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน รวมอยู่ด้วย จึงได้มีคำสั่งให้ปลัดอำเภอคนดังกล่าวมาช่วยราชการที่ทำการปกครองจังหวัดแล้ว แต่ทราบว่าล่าสุดปลัดอำเภอคนดังกล่าวอยู่ระหว่างการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งภายหลังการแจ้งข้อกล่าวหา หากได้รับการประกันตัว ก็ต้องมารายงานตัวกับตนทันที ส่วนกรณีของผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เป็นอำนาจของนายอำเภอในการดำเนินการ

ต่อมา มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ได้เชิญผู้ต้องสงสัยทั้งหมดมาสอบสวนปากคำอีกครั้ง ด้วยการแยกสอบ ใช้เวลานานกว่า 10 ชั่วโมง ทำให้หนึ่งในผู้ต้องสงสัย เปิดปากรับสารภาพว่า ในวันเกิดเหตุ พร้อมพวกอีก 3 คน ซึ่งเคยเข้าค่ายบำบัดยาเสพติด ของอำเภอไชยา หลังรับการบำบัด ก็คอยช่วยเหลืองานราชการด้วยการติดตามปลัดวี ก่อนเกิดเหตุได้เดินทางพร้อมด้วยปลัดไปร่วมงานศพญาติของนายเจี๊ยบ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นหลานนายทรงพล โดยได้มีการตั้งวงดื่มสุราจนมีอาการเมา และนายเจี๊ยบได้เล่าให้ปลัดฟังว่าพระเครื่องหาย โดยเชื่อว่านายทรงพล เป็นผู้ก่อเหตุ ปลัดจึงชักชวนกันไปตามตัวนายทรงพล และบุกเข้าไปบังคับขึ้นรถ ระหว่างนั้นนายทรงพลขัดขืนจึงได้ร่วมกันทำร้ายร่างกายอีกครั้ง และพบว่านายทรงพลได้เสียชีวิตแล้ว จึงตัดสินใจวางแผนที่จะนำศพไปทิ้งอำพราง ด้วยการขับรถตระเวนไปตามเส้นทางต่างๆ แต่ไม่สบโอกาส นายเจี๊ยบ จึงได้เสนอให้นำไปทิ้งในหลุมที่ขุดไว้เพื่อฝังกลบขยะ โดยร่วมกับเพื่อนอีก 2 คน ฝังร่างนายทรงพล ส่วนปลัดและนายเจี๊ยบ นั่งดื่มสุราเฝ้าดูอยู่ใกล้ๆ 

ล่าสุดเมื่อเวลา 14.00 น. ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดไชยาอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 5 คนประกอบด้วย นายวีรยุทธ สังข์สกุล อายุ 44 ปี ปลัดอำเภอท่าชนะ, นายวีระชัย ขันเพชร อายุ 38 ปี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน, นายนพรินทร์ คงทอง อายุ 30 ปี, 4.นายธีรยุทธ เกตุชู อายุ 36 ปี และ นายวรากร ทองคำ อายุ 27 ปี ข้อหากระทำความผิดฐาน ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา, กระทำทรมาน กระทำให้บุคคลสูญหาย, ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือถูกขังหรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย, ร่วมกันเข้าในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นเพื่อถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นทั้งหมดหรือบางส่วน หรือเข้าไปกระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของเขาโดยปกติสุขโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปในเวลากลางคืน, ร่วมกันลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพ นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สอบสวนอย่างละเอียดอีกครั้งดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป