ศาลอาญาพิพากษาจำคุก “พฤทธิกร สาระกุล” หรือต้นไผ่ หรือโจ้ อดีตทีมงานก้าวหน้า เป็นเวลา 20 ปี โพสต์ข้อความดูหมิ่นสถาบัน 10 ครั้ง
เมื่อเวลา 09.40 น. วันที่ 18 ธันวาคม 2568 ที่ห้องพิจารณาคดี 708 ศาลอาญา ศาลอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลย ในคดีที่ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายพฤทธิกร สาระกุล หรือต้นไผ่ หรือโจ้ อดีตทีมงานก้าวหน้า ในข้อหาหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ ด้วยการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 65 เวลากลางวัน จำเลยได้บังอาจหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ ด้วยการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูล ข้อความ รูปภาพและตัวอักษร ส่งผ่านระบบอินเทอร์เน็ตลงในแอพพลิเคชั่นเฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ ก่อนโพสต์ข้อความดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ 10 ครั้ง เป็นการปลุกปั่นทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดและจูงใจให้ต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ อาจนำมาซึ่งความเกลียดชัง โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าข้อมูลที่จำเลยโพสต์นั้นเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร เหตุเกิดที่แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพฯ และทั่วราชอาณาจักรเกี่ยวเนื่องกัน
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์มีพนักงานสอบสวนชุดจับกุมเบิกความเป็นพยานสอดคล้องต้องกันว่า ได้รับแจ้งว่ามีผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กของจำเลย โพสต์ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ จึงขอหมายค้นตรวจห้องชุด พบจำเลย จากการตรวจสอบคอมพิวเตอร์ของจำเลยพบการเข้าใช้งานบัญชีเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์มีการโพสต์ข้อความดูหมิ่นรวม 10 ครั้ง พร้อมถ่ายภาพที่จำเลยชี้ยืนยันว่า เป็นเจ้าของบัญชีเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ดังกล่าว
เห็นว่า พยานหลักฐานของพนักงานสอบสวนมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน มีการตรวจพบการเข้าถึงบัญชีและโพสต์ข้อความตามฟ้องโดยไม่มีส่วนได้เสียในคดี เชื่อว่าพยานโจทก์เบิกความไปตามจริง การที่มีภาพถ่ายยืนยันและลงลายมือชื่อไว้ในคำสอบสวน เกิดจากความสมัครใจของจำเลย การกระทำของจำเลยหาใช่การแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญ แต่เป็นการมุ่งใส่ร้ายถึงพระมหากษัตริย์ ทำให้พระมหากษัตริย์ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง อันเป็นการใส่ความอย่างร้ายแรง เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (3) เป็นการกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อันเป็นบทลงโทษหนักที่สุด จำคุกกระทงละ 3 ปี รวม 10 กระทง รวมจำคุก 30 ปี จำเลยให้การเป็นประโยชน์อยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกจำเลยกระทงละ 2 ปี รวม 10 กระทง รวมจำคุก 20 ปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จำเลยได้ประกันตัวและหลบหนีในชั้นสืบพยาน ศาลจึงมีคำสั่งให้ออกหมายจับและมีการสืบพยานลับหลังจำเลย ก่อนจะนัดอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยให้ทนายจำเลยฟังในวันนี้
...