"ยุทธนา นาคเรืองศรี" รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เผยไทม์ไลน์ จู่โจมค้นเรือนจำพิเศษฯ ก่อนสั่งย้าย 20 เจ้าหน้าที่ แจงไร้ชื่อพัศดีเวรถูกเด้ง กรณี "กันต์" ญาติจ่ายหลักหมื่น แลกเยี่ยมวันอาทิตย์ ขอหลักฐาน พร้อมตรวจสอบ

เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร วันที่ 26 พ.ย. ที่ เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร นายยุทธนา นาคเรืองศรี รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ โฆษกกรมราชทัณฑ์ และรักษาการ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ภายหลังจากที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วนั้น ซึ่งเมื่อพบข้อเท็จจริง จากนี้จะขยับไปสอบสวนเรื่องวินัยร้ายแรง และโทษทางอาญา ซึ่งตอนนี้มีเจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ได้ถูกคำสั่งย้ายไปแล้วรวมทั้งสิ้น 20 ราย ประกอบด้วย ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เลขานุการ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร หัวหน้าฝ่ายควบคุมแดน และเจ้าหน้าที่ผู้คุม แต่จะมี ผบ.เรือนจำฯ และเลขานุการ ผบ.เรือนจำฯ ที่ถูกคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งคำสั่งย้ายเจ้าหน้าที่ทั้งหมดนี้ก็เพื่อไม่ให้มายุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือมามีส่วนได้ส่วนเสียต่อคำให้การของเจ้าหน้าที่ตัวเล็ก เพื่อที่เขาจะได้กล้าตอบคำถามของพนักงานสืบสวนดีเอสไอ และหลักฐานเอกสารต่าง ๆ จะได้ไม่ถูกซุกซ่อนด้วย 

สำหรับไทม์ไลน์การเปิดปฏิบัติการตรวจค้นจู่โจมเมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 พ.ย. ตนได้มีการเปิดปฏิบัติการตรวจค้นจู่โจมเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในเวลา 10.45 น. จนถึงเวลา 18.30 น. และในตอนเย็นของวันเดียวกัน ก็ปรากฏเอกสารคำสั่งย้าย 20 เจ้าหน้าที่เรือนจำฯ ไปปฏิบัติหน้าที่ในเรือนจำต่างจังหวัด รวมถึงคำสั่งแต่งตั้งให้ตนเป็นรักษาการ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ 

อย่างไรก็ตาม ประเด็นพัศดีเวร ที่มีการตั้งข้อสังเกตกันว่า เหตุใดใน 20 รายชื่อเจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จึงไม่มีชื่อของเจ้าหน้าที่พัศดีเวรนั้น เนื่องด้วยในวันตรวจค้นจู่โจมพัศดีเวรดังกล่าวไม่ได้อยู่ในบริเวณนั้น

...

ส่วนการเปิดปฏิบัติการนั้น ตนได้เตรียมชุดพิเศษที่ขอรับการสนับสนุนจาก ผบ.เรือนจำต่างจังหวัด ให้รอสแตนด์บายไว้ยังจุดโดยรอบเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ขณะที่อธิบดีกรมราชทัณฑ์ จะมอนิเตอร์อยู่ในห้องวอร์รูม จากนั้นเมื่อถึงเวลา ตนได้นั่งรถ ผบ.เรือนจำชุดอื่น เข้าไปด้านในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อไม่ให้มีการรู้ทัน และเดินเข้าประตูภายในอาคารสำนักงานผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ก่อนเดินขึ้นบันไดเวียน จากชั้น 1 ไปชั้น 2 ที่เป็นห้องทำงานของ ผบ.เรือนจำฯ ซึ่งก็พบว่า ในห้องทำงานของ ผบ.เรือนจำฯ มีกล้องวงจรปิด มีโต๊ะ 1 ตัว และเมื่อเดินเข้าไป ตนก็แจ้งการตรวจค้นแก่ ผบ.เรือนจำฯ และพบว่า ผบ.เรือนจำฯ อยู่กับเจ้าหน้าที่ 2 คน แล้วตนก็เดินลงชั้น 1 เพื่อเข้าแดนด้านในเรือนจำฯ

อย่างไรก็ตาม ในการเข้าตรวจค้นจู่โจมเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ได้มีการใช้กำลังเจ้าหน้าที่เรือนจำอื่น ๆ กว่า 100 นาย โดยมีการตรวจทุกแดน ยกเว้น แดน 3 และแดน 5 เนื่องจากกำลังไม่เพียงพอ ซึ่งในการเข้าตรวจค้นแดนขัง จึงทำให้พบสิ่งของต้องห้ามและสิ่งของเกินความจำเป็น จนนำมาสู่คำสั่งย้ายเจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร จำนวน 20 ราย 

ทั้งนี้ ในวันที่ 18 พ.ย. ตนได้มีการตรวจค้นจู่โจมอีกครั้ง โดยเน้นเฉพาะแดนที่มีผู้ต้องขังจีนเทาอยู่ และจัดระเบียบเรือนจำ เอาสิ่งของเครื่องใช้ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ไม่อนุญาตตามกฎหมายราชทัณฑ์ออกมาให้หมด ไม่ว่าจะเป็น ตู้เย็น พัดลม เนื้อ อาหารสด ไฟแช็ก เหล็กแหลม มีดดัดแปลง มีดคัตเตอร์ เป็นต้น ซึ่งเจอสิ่งของต้องห้ามเหล่านี้ในแดนใด ก็ต้องโยกเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบแดนนั้นออกไป

นายยุทธนา กล่าวว่า สำหรับโทษทัณฑ์ของผู้ต้องขังระหว่าง หากถูกวินัยของผู้ต้องขัง จะมีเพียงการภาคทัณฑ์ และงดเยี่ยม แต่ถ้าจะย้ายเรือนจำฯ ต้องเป็นอำนาจศาลเท่านั้น นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มีจำนวน 270 กว่าราย และที่ระบุว่าเป็นเรือนจำพิเศษฯ ก็พิเศษจริง เพราะต้องมีการควบคุมผู้ต้องขังระหว่าง และมีส่วนที่ต้องไปขึ้นศาล ซึ่งผู้ต้องขังระหว่างในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร จะต้องถูกเบิกตัวไปศาลถึง 18 ศาล ดังนั้น เมื่อผู้ต้องขังต้องถูกเบิกตัวออกไป เรือนจำฯ จะส่งเจ้าหน้าที่ไป 3 ราย และถ้าหนึ่งวันมีหลายคน เราก็ต้องใช้เจ้าหน้าที่เรือนจำออกไปจำนวนมาก ซึ่งก็จะทำให้เหลือเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ในเรือนจำน้อย 

ส่วนหลักของการเดินทางไปยังต่างประเทศของข้าราชการ มีดังนี้ หากเป็นผู้บริหารระดับต่ำกว่า ซี 9 จะต้องขออนุญาตอธิบดีฯ แต่ถ้าระดับสูงกว่า ซี 9 จะต้องขออนุญาตปลัดกระทรวงฯ เพราะอาจเป็นการละเว้น ปล่อยปละ ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ได้ เพราะถ้าหากไม่ใช่การไปราชการหรือการประชุม จะต้องขออนุญาตทุกครั้ง เพราะถ้าหากส่วนกลางสั่งการใดมาแล้วตัวผู้บังคับบัญชาไม่อยู่ ก็จะมีเหตุความผิดได้ จึงต้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ที่เดินทางไปต่างประเทศนั้น มีจุดหมายปลายทางไปที่ใด ไปที่ซ้ำ ๆ หรือไปที่ใหม่ เราจะดูในเชิงของการใช้ตรรกะ ถ้าไปพื้นที่เดิมซ้ำ ๆ ปกติหรือไม่ เพราะถ้าเราไปเที่ยว เราคงไม่เที่ยวที่เดิมซ้ำ ๆ ถ้าจะซ้ำ จะใช้วิธีเที่ยวปีหน้าแทน

ทั้งนี้ กรณีที่มีกระแสข่าวออกมาก่อนหน้านี้ว่านายมานพ อดีตผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ได้มีการเดินทางไปยังต่างประเทศประมาณ 70-80 ครั้งใน 1 ปี ส่วนนี้ตนยังไม่มีข้อมูล แต่ตนเชื่อว่าข้อมูลที่สื่อได้มาคือแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ อย่างไรแล้ว ตนจะต้องไปตรวจสอบแฟ้มข้อมูลการแจ้งขอลาพักร้อนของนายมานพ ซึ่งส่วนนี้ก็ยังไม่ได้รับข้อมูลเช่นเดียวกัน แต่ตามหลักการแล้วในเวลาหนึ่งปี จะสามารถขอลาพักร้อนได้ 20 วัน แต่ไม่นับรวมวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งหากเดินทางไปในวันหยุด ก็ไม่ถือว่าเป็นการลางาน แต่ตอนนี้ก็ยังติดปัญหาเรื่องการค้นหาเอกสาร เพราะขณะนี้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลเอกสารเหล่านี้ก็ถูกโยกย้ายเช่นกัน ทำให้การตรวจสอบเอกสารล่าช้า

นายยุทธนา กล่าวถึงเรื่องนายกันต์ กันตถาวร หรือบอสกันต์ ที่ถูกกล่าวหาพาดพิงว่ามีการปรากฏตัวอยู่ในแดน 1 เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ที่ไม่มีการเปิดให้เยี่ยมญาติ ทั้งยังมีการกล่าวถึงสลิปโอนเงินจำนวน 40,000 บาท จากภรรยาของนายกันต์ ที่โอนไปยังเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ อ้างว่าเป็นเงินล็อคคิวตีเยี่ยมในวันอาทิตย์ ว่า ตนขอตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยการถามกลับไปยังคนที่เป็นคนโพสต์ข้อมูลดังกล่าวว่า ได้รับข้อมูลมาจากแหล่งไหน หรือเพจใด ยิ่งกรณีที่เป็นการโพสต์ข้อความและรูปภาพสลิปการโอนเงิน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นของบุคคลใด เพราะว่ามีการปิดชื่อและสกุล แต่เปิดเพียงยอดจำนวนเงิน ตนขออาสาตรวจสอบให้เลย โดยตนจะหาชื่อในสลิปโอนเงินให้ได้ว่าเป็นคนหรือญาติของใคร ขอแค่เอาข้อมูลมาให้ตน ตนจะเอาไปดูในทะเบียนงานเยี่ยมญาติของผู้ต้องขังให้เลย แต่ถ้ามันไม่ใช่ เขาจะรับผิดชอบให้หรือไม่ ในการกล่าวพาดพิงเช่นนี้ 

...

ส่วนกระแสข่าววงจรปิดว่า นายกันต์ เดินกับผู้หญิงในแดน 1 หรือไม่นั้น ก็เชื่อว่าเป็นเพียงจินตนาการ ผู้หญิง 1 คนจะกล้าเข้าไปปรากฏในเรือนจำชายได้อย่างไร รวมถึงปฏิเสธข่าวลือว่ามีการนำนักโทษหญิงจากทัณฑสถานหญิงกลาง เข้าไปในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ส่วนกรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ต้นเหตุการเข้าตรวจค้นทั้งหมด เป็นความขัดแย้งภายในกรมราชทัณฑ์ ที่ต้องการล้มล้างขั้วอำนาจเก่านั้น นายยุทธนา บอกว่า ส่วนตัวไม่เชื่อสมมติฐานดังกล่าว เพราะคนที่มีอำนาจแต่งตั้งผู้บัญชาการเรือนจำ 5 เสือ ก็คืออธิบดีกรมราชทัณฑ์ ไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นขั้วอำนาจไหน อีกทั้งอธิบดีกรมราชทัณฑ์คนปัจจุบันก็เข้ามาทำงานได้เพียงเดือนกว่า แต่ส่วนตัวเชื่อว่าอาจเป็นความขัดแย้งระหว่างนักโทษไทยกับนักโทษจีน เพราะเห็นว่านักโทษจีนมีสิทธิพิเศษไม่เท่ากัน

ด้าน นายไพฑูรย์ มงคลหัตถี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกรม กรมราชทัณฑ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กล่าวว่า กรณีที่ตนได้มีการขอตั้งกรรมการขึ้นมา 5 คน เนื่องด้วยจะต้องมีการกระจายกำลังกรรมการแต่ละราย ไปสอบสวนข้อมูลเจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ที่ถูกคำสั่งย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ยังเรือนจำต่างจังหวัด เพื่อจะได้มีความเพียงพอในการดำเนินงาน ส่วนกรณีการตรวจสอบเส้นทางการเงิน กรมราชทัณฑ์ ไม่สามารถดำเนินการได้ จะต้องเป็นทางดีเอสไอที่รับหน้าที่ดำเนินการเรื่องนี้ และสำหรับสาเหตุที่ต้องย้ายเจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครไปเรือนจำต่างจังหวัดนั้น หากเอาไปรวมกันที่กรมราชทัณฑ์ จ.นนทบุรี คนเหล่านี้ก็จะมีการปรึกษากันได้ ดังนั้น หน้าที่ของแต่ละคนที่ถูกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ยังเรือนจำต่างจังหวัด จึงเป็นดุลพินิจของผู้บัญชาการเรือนจำแห่งนั้นจะมอบหมายงาน ซึ่งในตอนนี้ เราคุยแค่เรื่องวินัยก่อน ส่วนเรื่องอาญาต้องรอดูผลสอบสวน ถ้าโดนวินัย อย่างไรอาญาก็จะโดนตามไปด้วย แต่ตอนนี้ยืนยันว่าเราก็เร่งเต็มที่แล้ว

...

สำหรับในประเด็นการเดินทางไปยังต่างประเทศของผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เป็นเรื่องที่จะต้องใช้ในการสอบสวนเช่นเดียวกัน เพราะการเดินทางไปต่างประเทศ ระดับผู้บริหารสูงกว่า ซี 9 จะต้องขออนุญาตผู้บังคับบัญชา ซึ่งก็คือปลัดกระทรวงยุติธรรม ส่วนกรณีของเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่คนเบิกตัวผู้ต้องขังนั้น ยืนยันว่าตนนั้นได้รับคำสั่งจาก ผบ.เรือนจำฯ และก็เป็นคนที่อยู่ในรายชื่อซึ่งถูกคำสั่งย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ยังเรือนจำต่างจังหวัดแล้ว

นายไพฑูรย์ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กล่าวเสริม สำหรับห้องลับใต้บันไดที่ถูกใช้เป็นห้องรับรองแขกนั้น พบว่าเป็นห้องที่มีมากับเรือนจำอยู่แล้ว แต่เดิมห้องนี้ใช้สำหรับเก็บอุปกรณ์ระงับเหตุ พวกโล่ กระบอง หมวก จึงต้องไปตรวจสอบดูหนังสือว่ามีการปรับเปลี่ยนสภาพห้องอย่างไรหรือไม่ และมีการเริ่มใช้ผิดวัตถุประสงค์เมื่อใด อย่างไร ซึ่งต้องยอมรับว่าเรื่องนี้ไม่เคยมีใครรู้ถึงห้องดังกล่าว แต่ในวันเข้าตรวจค้นจู่โจมจึงพบ ซึ่งลักษณะของห้องเป็นห้องที่ไม่สะดุดตามากนัก แต่ถ้าเดินเข้าประตูก็เจอเลย ดังนั้น หากเจอเอกสารแล้วไม่ปรากฏว่ามีการขอทำเรื่องปรับปรุงห้อง ก็มีความเป็นไปได้ว่าเป็นการดำเนินการเองของผู้บัญชาการเรือนจำฯ ซึ่งก็ต้องไปขยายต่อว่าแหล่งที่มาของเงินในการปรับปรุงห้องมาจากที่ใด

ขณะที่ นายกลยุทธ พานาสันต์ ผอ.กองทัณฑวิทยา กล่าวว่า การปรับปรุงซ่อมแซมเรือนจำฯ จะต้องมีการขออนุญาตกรมราชทัณฑ์ทุกครั้ง ส่วนเหตุการณ์ว่าใครเป็นคนไปเบิกตัวผู้ต้องขังจีนเทาออกจากแดนขัง เพื่อไปยังห้องลับใต้บันไดนั้น พบข้อมูลว่าคนที่ไปรับ เป็นคนใกล้ชิดของเจ้าหน้าที่ที่สามารถเดินผ่านได้ทุกแดนในเรือนจำฯ และเป้าหมายคือแดน 4 ซึ่งปัจจุบันหัวหน้าควบคุมแดน 4 รา