"พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ" ผบ.ตร. เปิดใจดราม่าองค์กรตำรวจ ลั่น "ผมไม่ใช่ลิเก" ใช้สมองทำงาน บอกตำรวจรับเงินซื้อขายตำแหน่ง "โง่สุดๆ" ขู่ฟันไม่เลี้ยง หากมีหลักฐาน 

วันที่ 18 พ.ย. 68 พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. เปิดเผยว่า ในฐานะที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นเหมือนหลุมระเบิด มองว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะเราทำงาน เรามีความใกล้ชิดกฎหมาย ถึอกฎหมาย และบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งอาจจะไปกระทบกระทั่งกับคนที่ไม่เห็นด้วย หรือเห็นต่าง หรือกระทำผิด และอาจใช้โอกาสที่เห็นว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีเรื่องที่ดำเนินการเรื่องต่างๆ อยู่ และหยิบไปให้รายละเอียด แต่ไม่ครบ ซึ่งอาจทำให้คนเชื่อ โดยที่ยังได้รับข้อมูลไม่ครบ และเผยแพร่ต่อ และผู้ฟังก็มองว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ดี 

ส่วนกรณีที่มีคนด้อยค่าตัวเอง ว่าเป็นลิเก เดินไปเดินมานั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ บอกว่า ผมเป็นตำรวจ คุณพ่อเป็นตำรวจ ผมเติบโตมาเป็นตำรวจ และทุกวันนี้ก็ยังเป็นตำรวจ ถ้าจำความได้ไม่เคยเล่นลิเกเลย ซึ่งลิเกก็จะเป็นเรื่องบทละคร ผู้แสดงก็มีหน้าที่ให้ความสุขกับคนที่มานั่งดู แต่ตนเป็นข้าราชการตำรวจ มีหน้าที่ทำงาน ที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น ตนก็พยายามยืนหยัดปกป้ององค์กร และพยายามเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยการปรับ mindset เราทำหน้าที่บริการ และอำนวยความสะดวก บังคับใช้กฎหมายให้เป็นธรรม สิ่งที่ตนพูดไม่ใช่ลิเก แต่การเป็น ผบ.ตร. ตนคิด แนะนำ สั่งการ บอกให้ทำ หน่วยปฏิบัติก็ทำตาม นั่นคือนโยบาย

ส่วนที่มีการพูดว่า ตำรวจเป็นองค์กรอาชญากรรมนั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เผยว่า เป็นเรื่องที่ตำรวจทั้งหมดรู้สึกไม่ดีกับคำพูดที่ว่าเราเป็นองค์กรอาชญากรรม หลายหน่วยก็มีการออกมาปฏิญาณตน ยืนยันตนเอง บางเรื่องก็มีการฟ้องร้องกัน ผมอยากจะบอกว่า องค์กรนี้ ผมมั่นใจว่าตั้งแต่ที่ผมรักษาการ จนเป็น ผบ.ตร. ผมยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง ทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน และดูแลข้าราชการตำรวจ ที่เหมือนครอบครัว ส่วนข้าราชการตำรวจคนใดที่มีพฤติกรรมแอบแฝงอยู่ ถ้ามีหลักฐานก็ต้องดำเนินการ ขอย้อนกลับไปที่ว่า ผมเป็นลิเก เดินไปเดินมา ผมจะบอกว่า การเป็น ผบ.ตร. เราใช้สมองในการทำงาน เราใช้สมองในการบอก สั่ง กำชับ ให้หน่วยปฏิบัติทำในสิ่งที่ดี ที่ชอบ ที่ควรตามกฎหมาย และต้องดูแลประชาชน ผมไม่ใช่ตัวละครลิเก ไม่ใช่ผู้กำกับหนัง บางคนอาจจะคิดว่าตัวเองกำลังเล่นลิเก เล่นละคร หรือกำกับหนังอยู่ แต่มองว่าคนอื่นเป็นลิเกด้วยหรือเปล่า แต่ตนยืนยันว่าทุกวินาทีคิดแต่จะทำให้องค์กรของตัวเองดีขึ้น แต่เจอหลุมระเบิด ผมก็ต้องพยายามทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยืนหยัดต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ดีอย่างมั่นคงให้ได้

...

เมื่อถามว่า การที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติถูกตำหนิ สั่นคลอนกับตำแหน่ง ผบ.ตร. หรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เผยว่า ผมไม่รู้สึกแบบนั้น ผมห่วงหน่วยปฏิบัติต่างๆ เมื่อวานก็ได้เชิญ ผบ.ตร. ทั้ง 5 ท่าน และจเรตำรวจแห่งชาติอีก 1 ท่าน มาพูดคุยกันในเรื่องของการทำงาน จากการพูดคุย เรามีความหนักแน่น และจะทำงานเพื่อนำพาสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปในทิศทางที่ดี แม้บางคนจะมองว่าสิ่งที่พูดออกไปเป็นลิเก แต่ผมว่าไม่ใช่ อีกทั้งวันนี้เรายังมีพิธีสำคัญ โดยผู้บัญชาการทุกหน่วยต้องมาด้วยตนเอง ผมก็ให้ทุกคนเน้นย้ำ หนักแน่น ในการปฏิบัติที่ดีงาม ถ้าใครทำไม่ดี แล้วมีพยานหลักฐานที่ชัดเจน อย่าโกรธถ้าตนจะดำเนินการอย่างเด็ดขาด ในฐานะผู้นำหน่วย


ในส่วนของกระแสข่าวการเรียกรับเงินจากการแต่งตั้งโยกย้าย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เผยว่า อยากให้แยกแยะก่อน การกล่าวหาว่าตนไปมีส่วนเกี่ยวข้อง รับเงินรับทอง ตนเคยประกาศนโยบายไปแล้วว่า ปูอย่ากินเลือดปู หมายความว่า เตือนไว้แล้วว่าอย่าเอาเรื่องการแต่งตั้งมาหาผลประโยชน์โดยไม่ชอบ ถ้าผู้ใด ดำเนินการแต่งตั้งแล้วหาผลประโยชน์เข้าตัวเอง มีหลักฐานชัด ตนไม่เลี้ยงจริงๆ 

เมื่อถามว่า กรณีที่จะมีการเปิดหลักฐาน พล.ต.อ. ครอบครัว และคนใกล้ชิด ที่เอี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้าย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เผยว่า ทุกวันนี้เราเสพข้อมูลจากการพูดกันไปมา แต่พยานหลักฐานอยู่ไหน ข้อมูลอยู่ไหน ทุกวันนี้องค์กรเราก็จะมีคนส่งกระดาษมา 1 แผ่น ร้องเรียนตำรวจ โดยไม่มีอะไรเลย แล้วก็ตั้งกรรมการกัน ผมถามว่าเป็นธรรมหรือไม่ จึงเกิดแนวคิดว่า เราจะตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลที่ได้มาจากการร้องเรียนให้ครบถ้วนก่อน อย่างน้อยให้มีเชื้อที่มีพยานหลักฐานชัดเจน เรื่องที่ปรากฏตอนนี้เป็นเรื่องของการบอกข่าวสารกัน ผ่านสื่อ ผ่านโซเชียล คนที่รับฟังอาจจะบอกว่าตำรวจเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ตนบอกเลยว่า ถ้ามีหลักฐาน พยาน ข้อมูลที่ชัดเจน ให้นำมาให้เราว่ามีตำรวจนายใดตั้งโต๊ะ หรือรับเงิน ผมบอกได้เลยว่า ถ้ามีตำรวจคนไหนรับเงินจากการแต่งตั้ง “โง่สุดๆ” ตนเป็น ผบ.ตร. ต้องหนักแน่นด้วยข้อมูลและหลักฐาน และถ้ามีข้อมูลผมก็ไม่เอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจระดับไหน

"ผมว่าคนที่เคยทำแล้วคิดว่าคนอื่นจะทำ ผมคิดว่าจะเรามีความบริสุทธิ์ใจเพียงพอ และย้ำกับผู้บัญชาการภาค 8 ว่า ผมหนักแน่นพอ แต่ถ้าผมรู้ และปรากฏหลักฐาน จะไม่เอาท่านไว้เลย ผมไม่ได้มองในฐานะเพื่อน แต่มองในฐานะผู้บังคับบัญชา และผู้ใต้บังคับบัญชา จะหาว่าผมไปร่วม หรือมีส่วนได้เสีย อย่าพูดลอยๆ เอาเรื่องจริงดีกว่า คนอย่างผม ถ้าคิดจะทำแบบนี้ ผมไม่หน้าหนาพอที่จะประกาศเป็นนโยบาย และย้ำกับผู้ใต้บังคับบัญชาทุกหน่วยว่า คุณต้องไม่ทำ ถ้าผมทำ ผมขอปลดยศผมเองเลยจะดีกว่า ผมไม่ทำแน่ๆ" พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าว

...


ผบ.ตร. ยังกล่าวถึงเรื่องตำรวจกว่า 200 นายที่อาจจะข้องเกี่ยวกับเว็บพนัน ที่อาจมีอดีต ผบ.ตร. เกี่ยวข้องว่า เรื่องดังกล่าวอยู่ในคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) หน่วยงานที่เกิดขึ้นใหม่ตามพระราชบัญญัติตำรวจ ไม่ได้เกี่ยวกับตำรวจ ฉะนั้นเรื่องต่างๆ ที่เข้าไปใน ก.ร.ตร. จะไม่เกี่ยวกับ ผบ.ตร. แต่หากผลสอบสวนแล้วเสร็จ ตร. จะนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาโทษทัณฑ์

ส่วนการที่ ผบ.ตร. ออกมาแถลงข่าววันนี้ หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดกระแสสังคมมากว่า 2 สัปดาห์ จะช้าไปหรือไม่ จนทำให้สังคมสับสนและอาจยากต่อการสร้างความเชื่อมั่นให้องค์กร ผบ.ตร. ระบุว่า การชี้แจงไม่ได้เร็วหรือช้า รวมทั้งความเชื่อของแต่ละคนไม่สามารถบังคับกันได้ การที่ออกมาชี้แจงวันนี้เป็นการคลายข้อสงสัยอย่างมุ่งมั่นของตน ในฐานะหัวหน้าหน่วย

ส่วนที่คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร จะเชิญ ผบ.ตร. ให้ชี้แจงวันที่ 26 พ.ย.นี้ หากตนเองไม่ติดภารกิจ จะไปด้วยตนเอง แต่หากติดภารกิจ จะมอบหมาย แต่อยากฝากถึงทั้งองค์ประชุมกรรมาธิการและตำรวจที่ไปชี้แจง ทำหน้าที่ได้ดีแล้ว แต่จุดประสงค์ที่เชิญคือการประชุม ฉะนั้น เรื่องการเผยแพร่หรือถ่ายทอดสด ตนไม่อยากวิพากษ์วิจารณ์ แต่สิ่งที่พูดในที่ประชุมค่อนข้างหมิ่นเหม่ข้อกฎหมาย เนื่องจากบางเรื่องอยู่ในกระบวนการยุติธรรม

ส่วนกรณีที่มีภาพตำรวจถ่ายกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนันและอื่นๆ ผบ.ตร. กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ได้เข้าข้างใคร แต่ตนมองว่าตำรวจเป็นคนสาธารณะ ไม่ทราบว่าใครร้ายหรือดี พร้อมย้อนถามว่า ถ่ายภาพคู่กันเฉยๆ ผิดหรือไม่ หากจะผิด มองว่าต้องมีพฤติกรรมอะไรที่แสดงถึงการเกื้อหนุน มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง มีการกินเลี้ยง มีการต่อยอดใกล้ชิดกันบ่อย สิ่งนั้นถึงจะเรียกว่าผิด

...