(แฟ้มภาพ)

ผบช.ภ.9 ยังไม่ส่งผลสอบเพิ่มคดีเว็บพนัน "นักการเมือง" กลับมาให้ อสส. ชี้ขาด เผยทาง ผบ.ตร. มีคำสั่งเร่งรัดให้รีบสรุปสำนวนคดีนี้ให้เร็วที่สุด


วันที่ 7 พ.ย. 68 จากกรณีมีกระแสข่าวว่า ตำรวจภูธรภาค 9 ยังไม่ส่งผลสอบเพิ่มคดีเว็บพนันของนักการเมืองรายหนึ่งกลับมาให้อัยการสูงสุดชี้ขาด เบื้องต้นได้สอบถามข้อเท็จจริงไปยัง พลตำรวจโท ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 เปิดเผยว่า สำหรับกรณีที่พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองสงขลา ทั้ง 6 นาย ดำเนินการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงจนสามารถแจ้งข้อกล่าวหาและดำเนินคดีกับนักการเมืองรายหนึ่งกับพวกทั้งหมด 3 คดี ก่อนที่จะสรุปสำนวนส่งฟ้องไปยังพนักงานอัยการ

แต่ต่อมามี 1 สำนวนคดีที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง และทางพนักงานสอบสวนเองก็ไม่ได้มีความเห็นแย้ง สำหรับในเรื่องนี้ช่วงแรกทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการสั่งตรวจสอบข้อเท็จจริงพนักงานสอบสวนทั้ง 6 นาย เกี่ยวกับเรื่องการทำสำนวนคดีที่เร่งรีบ บกพร่องขาดความรอบคอบ จนทำให้พนักงานอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง จึงได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง จนคณะกรรมการจเรตำรวจแห่งชาติ มีมติว่า ให้นายตำรวจทั้ง 6 นาย มีความผิดฐานกระทำผิดวินัย และมีการลงโทษทางวินัยกับตำรวจทั้ง 6 นายเรียบร้อยแล้ว

ก่อนที่ต่อมาผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลาในขณะนั้น ได้ลงนามในหนังสือรายงานผลการดำเนินการทางวินัย  โดยมีคำสั่งให้ยุติเรื่องการดำเนินการทางวินัย ว่ากล่าวตักเตือน และลงโทษภาคทัณฑ์ สำหรับนายตำรวจทั้ง 6 นาย

จึงถือว่าการดำเนินการลงโทษทางวินัยพนักงานสอบสวนทั้ง 6 นายเสร็จสิ้นแล้ว ยังคงเหลือเพียงรายละเอียดในส่วนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติสั่งการมาให้ตรวจสอบว่าสาเหตุใดที่อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ที่ดำรงตำแหน่งขณะนั้นไม่เห็นแย้ง ในความเห็นของอัยการ 

...

ซึ่งหากว่าทางตำรวจกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 มีความเห็นแย้งก็จะต้องส่งเรื่องไปที่อธิบดีอัยการสูงสุด แต่ในเมื่อก่อนที่อัยการจะมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง ทางตำรวจไม่เห็นแย้งเป็นอันว่าคดีถึงสิ้นสุด จึงเป็นเหตุให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติสั่งการมาให้ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเหตุใดจึงไม่เห็นแย้ง เนื่องจากมีพยานหลักฐานที่ชัดเจนสามารถเอาผิดกับผู้ต้องหาได้

สำหรับในคดีนี้ ในสมัยนั้นตนเองยังไม่ได้มาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 จึงไม่ทราบในข้อเท็จจริงว่าเหตุใดรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ท่านนั้นจึงไม่มีความเห็นแย้งต่ออัยการ ซึ่งหากมีการตรวจสอบจนทราบข้อเท็จจริงแล้วว่าสาเหตุที่ทางรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ดังกล่าวนั้นไม่มีความเห็นแย้งเพราะเป็นไปตามหลักกฎหมายที่ถูกต้องก็ถือว่าเป็นอันสิ้นสุด

สามารถสรุปได้ว่าสำหรับในส่วนของคดีนี้จากพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวนทั้ง 6 คนเห็นว่าสามารถส่งฟ้องได้ แต่ท้ายสุดแล้วอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง แต่ภายหลังจากที่อัยการสั่งไม่ฟ้องแล้วก็ได้ส่งสำนวนกลับมาที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 เผื่อว่าจะทำความเห็นแย้งหรือไม่แย้ง ปรากฏว่ามี 1 คดีจากจำนวน 3 คดีที่ทางพนักงานสอบสวนไม่มีความเห็นแย้ง ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้ให้ตรวจสอบว่าเหตุใด ทางพนักงานสอบสวนจึงไม่มีความเห็นแย้งในความเห็นของอัยการ

นอกจากนี้หลังจากที่ตนเองมาดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 แล้วก็ยังคงเหลืออีก 2 สำนวนคดีที่ขณะนี้อยู่ในชั้นอัยการและมีคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติม ตนเองก็เห็นแย้งทั้งหมด ขณะนี้ก็ยังคงอยู่ในระหว่างที่อัยการสูงสุดให้มีการสอบสวนเพิ่มเติม

สำหรับตนเองหลังจากที่ย้ายมาดำรงตำแหน่งก็เห็นว่าทั้ง 2 สำนวนที่อยู่ในชั้นอัยการขณะนี้มีพยานหลักฐานครบถ้วนจนสามารถเอาผิดได้ จึงมีความเห็นแย้งและตอนนี้ทางอัยการได้มีคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติม ซึ่งก็ถือว่าสำหรับอีก 2 สำนวนคดีนี้ยังไม่สิ้นสุดถึงขั้นส่งฟ้อง ยังอยู่ในขั้นตอนของการสอบสวนเพิ่มเติมตามคำสั่งของอัยการ

ตอนนี้จึงถือว่าอยู่ระหว่างการตรวจสอบ ทั้ง 3 คดี ซึ่งสำหรับใน 1 คดีนี้อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องไปแล้วจึงถือว่าสิ้นสุด ส่วนอีก 2 สำนวนคดี อัยการสูงสุดมีคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติม ซึ่งทางพลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็ได้มีคำสั่งเร่งรัดโดยตรงมายังตนเองแล้วว่าต้องเร่งรีบในการสรุปสำนวนคดีนี้เพิ่มเติมตามคำสั่งของอัยการให้แล้วเสร็จ ก่อนจะเสนอส่งกลับไปที่อัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาโดยเร็วที่สุด.