ตร.ไซเบอร์ ตามรวบขบวนการส่งพัสดุหลอกเหยื่อ เก็บเงินปลายทาง รายได้เฉลี่ย 5 แสนบาทต่อเดือน หลังส่งพัสดุมาหลอกเก็บเงินจาก รอง ผกก.3 บก.สอท.2
วันที่ 31 ต.ค. 68 ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เมืองทองธานี อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.สอท. พล.ต.ต.ชัชปัณฑกานต์ คล้ายคลึง รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.ศรายุทธ จุณณวัตต์ ผบก.สอท.2 พ.ต.อ.ปกรกิตติ์ ธนวรินทร์กุล ผกก.3 บก.สอท.2 พ.ต.อ.อดิชาติ อมรประดิษฐ์ ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.3 ร่วมแถลงปฏิบัติการทลายขบวนการแก๊งส่งพัสดุหลอกเหยื่อเก็บเงินปลายทาง มีรายได้เฉลี่ย 5 แสนบาทต่อเดือน
พล.ต.ต.ชัชปัณฑกานต์ กล่าวว่า เรื่องนี้เริ่มต้นจากมีกลุ่มมิจฉาชีพส่งพัสดุสินค้ามาให้ พ.ต.ท.เอนก ยอดหมวก รอง ผกก.3 บก.สอท.2 โดยไม่ได้มีการสั่งซื้อและหลอกเก็บเงินปลายทาง ซึ่งในเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้มีผู้ถูกหลอกไปแล้วเป็นจำนวนมาก สร้างความเสียหายแก่ประชาชนเป็นวงกว้างทั่วประเทศ
โดยตำรวจชุดสืบสวน กก.3 บก.สอท.2 และตำรวจชุดสืบสวน กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.3 ได้ทำการสืบสวนหาผู้กระทำผิด จนทราบว่ากลุ่มขบวนการที่มีการลักลอบส่งพัสดุดังกล่าวนั้นส่งมาจากบริษัทแห่งหนึ่ง ตั้งออฟฟิศอยู่ในพื้นที่ย่านนวลจันทร์ กรุงเทพฯ จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายค้นเป้าหมาย
...
ต่อมา พ.ต.อ.ปกรกิตติ์ ธนวรินทร์กุล ผกก.3 บก.สอท.2 พ.ต.อ.อดิชาติ อมรประดิษฐ์ ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.3 นำกำลังพร้อมหมายค้นศาลอาญา ที่ 864/2568 ตรวจค้นบริษัทดังกล่าว ก่อนเข้าจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องในการกระทำผิด 4 ราย ประกอบด้วย นายศิวัจน์ ชัยปิยะศาสตร์ อายุ 32 ปี, นายสหัสชัย พ่วงศรี อายุ 34 ปี, นายภานุวัฒน์ พลายงาม อายุ 28 ปี และนายธนกฤต พัชรทิวัฒน์ อายุ 28 ปี
พร้อมตรวจอายัดของกลาง คอมพิวเตอร์ 4 เครื่อง, โทรศัพท์มือถือ 8 เครื่อง, สมุดบัญชีธนาคารของบุคคลอื่น (บัญชีม้า) 10 เล่ม, บัตรเอทีเอ็มของบุคคลอื่น (บัญชีม้า) 13 ใบ, ซิมการ์ดโทรศัพท์ที่ลงทะเบียนแล้ว (ไว้ใช้สมัครการส่งพัสดุเก็บเงินปลายทาง (COD)) 304 ซิม, กล่อง/ถุง บรรจุพัสดุที่ติดฉลากชื่อผู้รับพัสดุเตรียมส่ง 494 ชิ้น, กล่อง/ถุง บรรจุพัสดุแพ็กเรียบร้อยแต่ยังไม่ได้ติดฉลากชื่อผู้รับพัสดุ 517 ชิ้น, เสื้อผ้ามือสอง (ไว้บรรจุ) 320 ตัว, กล่องกระดาษ 2,900 ใบ และอุปกรณ์ที่ใช้ในการแพ็กสินค้าพร้อมเครื่องพิมพ์สติกเกอร์ชื่อและที่อยู่ของเหยื่อผู้รับของปลายทาง
พ.ต.อ.ปกรกิตติ์ กล่าวต่อว่า เบื้องต้นสอบสวนนายศิวัจน์ ซึ่งเป็นตัวการสำคัญให้การยอมรับว่า เคยประกอบการเปิดบริษัทรับส่งพัสดุ และเปิดเพจขายสินค้ามาก่อน โดยมีฐานรายชื่อลูกค้าจากการยิงแอดโฆษณา ซึ่งรู้ช่องว่างของระบบบริษัทขนส่ง จึงได้นำรายชื่อลูกค้าที่เคยสั่งสินค้ากับตน มาจัดส่งพัสดุเป็นประเภทเสื้อผ้ามือสองที่เหมาซื้อในราคาถูก ๆ โดยใช้ออฟฟิศในกรุงเทพฯ เป็นจุดสั่งการ ไปที่โกดังในพื้นที่ จ.ขอนแก่น เป็นจุดให้คนงานแพ็กสินค้าทยอยจัดส่งให้เหยื่อผ่านระบบเก็บเงินปลายทาง cash on delivery (COD) ในราคา 400 บาท โดยสร้างความเสียหายไปแล้วนับล้านบาท
อีกทั้ง นายศิวัจน์มีความรู้ระบบเป็นอย่างดี จึงได้อาศัยช่องว่าง โดยการเปิด User ด้วยซิมผี ที่ลักลอบจดทะเบียน ก่อนนำมาลงทะเบียนเปิด User จำนวนมาก โดยส่ง User ละ 100 กล่อง เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบของระบบบริษัทขนส่งพัสดุ
โดยมีการส่งสินค้าไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศเฉลี่ย 12,500 ชิ้นต่อเดือน ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 ซึ่งพนักงานในบริษัทเป็นผู้ทำระบบลูกค้าและจัดหาบัญชีม้า เพื่อใช้รับเงินค่าพัสดุเก็บเงินปลายทาง จากบริษัทขนส่ง ก่อนทยอยส่ง User ละ 100 ชิ้น ที่ผ่านมามีรายได้เฉลี่ย 5 แสนบาทต่อเดือน
โดยตำรวจดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”
...