เจ้าหน้าที่บุกรวบเครือข่ายบัญชีม้า กลางลานจอดรถห้างดัง ย่านเพชรเกษม หลังกดเงินสด เตรียมไปซื้อคริปโตฯ โอนให้ทุนจีน ซึ่งไม่เคยเจอหน้ากัน ได้ส่วนแบ่ง 1.5-2%
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 31 ต.ค. 68 พ.ต.อ.ปราโมทย์ จันทร์บุญแก้ว ผกก.สน.เพชรเกษม พ.ต.ท.เด่นดนัย วัฒนวิจิตรนนท์ รอง ผกก.(สอบสวน) สน.เพชรเกษม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนสน.เพชรเกษม ได้ร่วมกันขยายผลเพื่อตัดวงจรเครือข่ายบัญชีม้า ภายใต้ “ปฏิบัติการยุทธการแหกคอกม้า” ตรวจค้นยานพาหนะต้องสงสัย ยี่ห้อ Mercedes-Benz รุ่น C350 e สีขาว ทะเบียนกรุงเทพมหานคร บริเวณลานจอดรถห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง สาขาเพชรเกษม แขวงหลักสอง เขตบางแค กรุงเทพฯ โดยมี น.ส.กุสุมาภัสน์ อายุ 36 ปี แสดงตนเป็นผู้ครอบครอง ผลการตรวจค้นพบ ธนบัตรรัฐบาลไทยจำนวน 906 ฉบับ รวมเป็นเงิน 960,000 บาท บรรจุอยู่ในถุงผ้าสีฟ้าวางอยู่เบาะหลังคนขับ, โทรศัพท์ ไอโฟน 17 Pro Max สีส้ม 1 เครื่อง, โทรศัพท์ไอโฟน 11 สีดำ 1 เครื่อง
และตรวจค้นตัวนายธนกฤต อายุ 31 ปี ซึ่งยืนอยู่ใกล้กับ น.ส.กุสุมาภัสน์ ผลการตรวจค้นพบ ธนบัตรรัฐบาลไทยจำนวน 500 ฉบับ รวมเป็นเงิน 500,000 บาท บรรจุอยู่ในซองเอกสารสีน้ำตาล อยู่ภายในกระเป๋าสะพาย, โทรศัพท์ไอโฟน 16 Pro สีดำ 1 เครื่อง จึงได้เชิญตัวทั้งสองไปสอบสวนที่ สน.เพชรเกษม
...
จากการตรวจสอบข้อมูลแล้ว ทั้ง 2 คน เชื่อมโยงกับกลุ่มบัญชีม้าที่หลอกลวงผู้เสียหายที่พนักงานสอบสวนได้รับคำร้องทุกข์ไว้ จึงอายัดเงิน 1,406,000 บาท ไว้ ก่อนแจ้งข้อกล่าวหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน
สอบสวนนายธนกฤต ให้การว่า ตนมีหน้าที่พาเจ้าของบัญชีม้าไปกดเงินจากตู้เอทีเอ็ม เพื่อนำเงินสดมาส่งมอบให้กับ น.ส.กุสุมาภัสน์ โดย น.ส.กุสุมาภัสน์ จะนำเงินสดไปซื้อสกุลเงิน USDT แล้วโอนต่อไปให้กับคนจีน ซึ่งไม่เคยเจอหน้ากัน โดยจะได้ส่วนแบ่งจากยอดเงินที่หลอกมาได้ 1.5-2% นำไปแบ่งกับทีมงาน
พ.ต.อ.ปราโมทย์ จันทร์บุญแก้ว ผกก.สน.เพชรเกษม กล่าวว่า กรณีนี้เป็นการสืบสวนขยายผล เพื่อตัดวงจรกลุ่มเครือข่ายบัญชีม้าที่ใช้หลอกลวงผู้เสียหาย จนเกิดความเสียหายเกือบ 7 ล้านบาท ซึ่ง สน.เพชรเกษม ได้จับกุมผู้ร่วมขบวนการนี้ไปก่อนหน้าแล้ว 2 คน ทั้งนี้รัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการระดมกวาดล้างอย่างเด็ดขาด ซึ่งในเคสนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการวางแผนทลายเครือข่ายมาตลอด และที่สำคัญสามารถยึดเงินคืนให้กับผู้เสียหายไปก่อนหน้านี้แล้ว 800,000 บาท ซึ่งจะได้ดำเนินการขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการต่อไป