“บิ๊กหยาม ผบช.น.” นำกำลังตำรวจ 191 บุกค้นบ้านเช่าหรูย่านลาดพร้าว หลังสืบทราบเบาะแสชายชาวจีน 3 ราย เช่าเป็น “ฐานคอลเซ็นเตอร์” หลอกเหยื่อข้ามชาติ พบอุปกรณ์เทคโนโลยีครบวงจร ซิมบ็อกซ์–คอมพิวเตอร์–มือถือกว่า 30 เครื่อง พร้อมหลักฐานบัญชีรายรับเดือนแรกทะลุ 10 ล้านบาท คาดโยงเครือข่ายต่างประเทศ
เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 23 ตุลาคม 2568 พล.ต.ต.วรวิทย์ ญาณจินดา ผบก.สปพ. พ.ต.อ.ธนากร อ่อนทองคำ รองผบก.สปพ. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่งานสายตรวจ 2 กก.สายตรวจ บก.สปพ. ร่วมกับนายสุธีระ พึ่งธรรม ผอ.สำนักกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม นำหมายค้นศาลอาญา ที่ /2568 ลงวันที่ 22 ต.ค. 68 เข้าตรวจค้นบ้านหลังหนึ่งใน ซอยลาดพร้าว 3 แยก 6 แขวงจอมพล เขตจตุจักร กทม. ภายหลังสืบทราบว่าเป็นที่ทำการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงเงินชาวต่างชาติ พร้อมรายงานให้ พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. และพล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม รอง ผบช.น. พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผบก.สส.บช.น. ร่วมตรวจสอบที่เกิดเหตุ
ที่เกิดเหตุเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ปลูกอยู่ในพื้นที่ประมาณ 50 ตารางวา รั้วรอบขอบชิด เรียกคนในบ้านออกมาเปิดประตู ก่อนเข้าตรวจและจับกุมนายจาง ไห่หลง
(Mr.Zhang Hailong) อายุ 38 ปี นายหลิว ชุนหยิง (Mr.Liu Shunyin) อายุ 29 ปี และนายอู่ จื้อเฉียง (Mr.Wu Zhiqiang) อายุ 32 ปี ทั้ง 3 คน เป็นชาวจีน
...
พร้อมของกลาง อุปกรณ์ Phone Farm 4 เครื่อง ชุดคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (PC) 4 เครื่อง Notebooks 4 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 42 เครื่อง เร้าเตอร์ 5 เครื่อง
Pocket WiFi 1 เครื่อง และอุปกรณ์ส่วนควบอื่นๆ เช่น คีย์บอร์ด ปลั๊กไฟ เป็นต้น
โดยพบข้อมูลในคอมพิวเตอร์ เป็นแบบฟอร์มการพูดหลอกลวง ผู้อื่น เป็นภาษาอังกฤษ จีน สเปน และมีแชทสนทนาในแอปพลิเคชันโซเชียลต่างๆ คุยกับผู้อื่น ที่ส่วนใหญ่เป็นคนต่างประเทศ (หลอกชาวจีน สเปน และอังกฤษ)
นายจาง ไห่หลง ให้การว่า เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย และเพียงต้องการพักอาศัยในบ้านหลังดังกล่าวเท่านั้น โดยระบุว่า เมื่อเข้ามาอยู่ก็พบว่าภายในบ้านมีอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารพร้อมใช้งานอยู่แล้ว โดยตนไม่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมใด ๆ ที่ผิดกฎหมาย
พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น.กล่าวว่า ชุดจับกุมได้รับเบาะแสจากเพื่อนบ้าน มีกลุ่มคนชาวจีนมาเช่าที่เกิดเหตุตั้งแต่เดือน ต.ค.ปี67 เดือนละประมาณ 3 หมื่นบาท หมุนเวียนกันมาไม่ซ้ำหน้าและเก็บตัวเงียบในบ้าน
จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่ากลุ่มผู้ต้องหามีพฤติกรรมตั้งตัวเป็น “ที่ปรึกษากฎหมาย” หลอกเหยื่อ โดยอ้างว่าจะให้คำแนะนำทางคดีแก่ชาวจีน ชาวสเปน และชาวอังกฤษที่ถูกหลอกลวงทางออนไลน์ โดยไม่คิดค่าบริการจนกว่าคดีจะเสร็จสิ้น แต่แท้จริงแล้วเป็นการหลอกซ้ำ เพื่อดูดข้อมูลและทรัพย์สินเพิ่มเติมจากเหยื่อ
นอกจากนี้ การตรวจค้นภายในบ้านยังพบสมุดบัญชีรายรับรายจ่ายเป็นภาษาจีน ระบุรายการตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2567 ซึ่งเป็นช่วงที่กลุ่มผู้ต้องหาเริ่มเช่าบ้านหลังนี้ โดยในเดือนแรกเพียงเดือนเดียวมีรายรับสูงถึง 2 ล้านหยวน หรือราว 10 ล้านบาทไทย สะท้อนถึงขนาดความเสียหายและความเชื่อมโยงกับขบวนการใหญ่ในต่างประเทศ
จากการสอบถามเพื่อนบ้านในละแวกดังกล่าวให้ข้อมูลว่า กลุ่มผู้ต้องหาจะมีการหมุนเวียนบุคคลเข้าออกเป็นระยะ แต่มีหนึ่งคนที่อยู่ประจำคือ นายจาง ไห่หลง ซึ่งทราบว่าเดินทางเข้าประเทศไทยจากลาวเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ส่วนอีกสองรายเดินทางมาจากกัมพูชา เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568
พ.ต.อ.ธนากร อ่อนทองคำ ระบุเพิ่มเติมว่า บ้านหลังดังกล่าวถูกเช่าโดยหญิงชาวไทยคนหนึ่ง ในราคาเดือนละ 30,000 บาท ตั้งแต่ปี 2567 ก่อนที่หญิงรายนี้จะทำ “สัญญาเช่าปลอม” ขึ้นอีกฉบับ โดยใส่ชื่อชาวจีนเป็นผู้เช่าแทน เชื่อว่าทำเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่และใช้เปิดสัญญาณอินเทอร์เน็ตในประเทศ ซึ่งเจ้าของบ้านยืนยันชัดว่าไม่เคยทำสัญญาโดยตรงกับชาวจีน
ด้าน นายสุธีระ พึ่งธรรม ผอ.สำนักกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบพบว่ากลุ่มนี้มีการประกอบและดัดแปลงระบบโทรคมนาคม โดยนำวงจรโทรศัพท์มือถือมาประกอบเข้ากับอุปกรณ์ ซิมบ็อกซ์ (Sim Box) ซึ่งสามารถใช้เปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์ต้นทางเพื่อปกปิดตัวตนของผู้โทรได้ ถือเป็นการนำเข้าและมีไว้ซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท
...
ทั้งนี้ ผบช.น. ระบุว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างขยายผลถึงหัวหน้าเครือข่าย รวมถึงผู้ร่วมขบวนการที่อาจหลบหนีอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมตรวจสอบเส้นทางการเงินในบัญชีที่ยึดได้ทั้งหมด เพื่อพิสูจน์ความเชื่อมโยงกับขบวนการคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติรายใหญ่ ซึ่งคาดว่ามีฐานปฏิบัติการหลายแห่งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหา ร่วมกัน ทำ มี ใช้ นำเข้า นำออก หรือค้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต 2.ร่วมกันตั้งสถานีวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาตตามมาตรา 15 พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ.2489 และ3.ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน
...