เจ้าหน้าที่บูรณาการร่วมหลายฝ่าย บุกตรวจร้านรถเช่าของชาวรัสเซียบนเกาะพะงัน ยึดรถ จยย. ร่วม 400 คัน ตรวจสอบ


วันที่ 22 ต.ค. 68 มีรายงานว่า วานนี้ (21 ต.ค.) ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิด กรณีบุคคลต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อประกอบกิจการ และดำเนินกิจกรรมต่างๆ โดยผิดกฎหมาย ศปก.สภ.เกาะพะงัน พล.ต.ต. กฤษณ์ วาฤทธิ์ รอง ผบช.ทท. พล.ต.ต.ชูธเรศ ยิ่งยงดำรงสกุล ผบก.ตม.6 พล.ต.ต.สุวัฒน์ สุขศรี ผบก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี พ.ต.อ.ศิริชัย สุขสาตต์ รอง ผบก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี พ.ต.อ.อภิชาต จันทร์สำเร็จ ผกก.สภ.เกาะพะงัน, พ.ต.อ.นฤวัต พุทธวิโร ผกก.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี นายไพสิฐ ทองฉิม ปลัดอาวุโสอำเภอเกาะพะงัน ตำรวจสืบสวนภาค 8 นปพ.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี

ได้ร่วมกันตรวจสอบบริษัทให้บริการรถเช่า และห้องพัก แห่งหนึ่งในพื้นที่ หมู่ 1 ตำบลเกาะพะงัน อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี หลังได้รับร้องเรียนจากนักท่องเที่ยวว่าถูกบริษัทรถเช่าแห่งหนึ่ง ได้ยึดหนังสือเดินทาง

ทางเจ้าหน้าที่จึงได้นำกำลังเข้าตรวจสอบ พบหญิงไทย 1 คน ทำหน้าที่ดูแลบริหารจัดการภายในบริษัท จับกุม นายวาเลรี สัญชาติรัสเซีย อายุ 39 ปี ทำหน้าที่ดูแลให้บริการลูกค้า ชาวเมียนมา 5 ราย และผู้ดูแลชาวไทย นางสาวธัญญ์ญานิช อายุ 39 ปี จากการตรวจสอบรถจักรยานยนต์ชนิดต่างๆ และอุปกรณ์ของกลางเกือบ 400 คัน ทางเจ้าหน้าที่ได้ยึดไว้ตรวจสอบ

ในเบื้องต้นทราบว่ารถจักรยานยนต์ และรถยนต์ของกลางที่ตรวจยึดได้ในครั้งนี้ อาจมีความเชื่อมโยงกับกรณีรถจักรยานยนต์หายหลายครั้งในพื้นที่ เนื่องจากหนึ่งในลูกจ้างชาวเมียนมาที่ถูกจับกุมให้การว่า รับซื้อรถจักรยานยนต์จากเพื่อนชาวเมียนมาในราคาหลักพันบาท โดยบริษัทดังกล่าวนอกจากให้บริการรถเช่าแล้ว บริษัทนี้ยังเปิดให้บริการห้องพักรายวัน และเมื่อตรวจสอบไม่พบใบอนุญาตประกอบการธุรกิจโรงแรม รวมทั้งอู่ซ่อมรถแต่อย่างใด จึงได้ดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง

...

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบข้อมูลการดำเนินการ พบว่าจดทะเบียนเป็นบริษัท มีผู้ถือหุ้น 2 ราย คือหญิงไทย ซึ่งรับสารภาพว่ามีรายชื่อผู้ถือหุ้น แต่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลงทุน แต่ทำหน้าที่เป็นพนักงานดูแลภายในร้าน ส่วนผู้ถือหุ้นอีกรายเป็นชาวรัสเซีย อาศัยในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะเร่งติดตามมาสอบปากคำ

ด้าน พล.ต.ต. กฤษณ์ วาฤทธิ์ รอง ผบช.ทท. เปิดเผยว่า สืบเนื่องมาจากการที่นักท่องเที่ยวมาร้องเรียนว่า บริษัทนี้มีการให้เช่ารถและมีการยึดพาสปอร์ตเอาไว้ ซึ่งนักท่องเที่ยวมีความจำเป็นต้องใช้พาสปอร์ต และบริษัทไม่คืนเงินให้ และได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่ามีการปล่อยรถเช่าจากชาวต่างชาติที่ไม่ใช่คนไทย ซึ่งเป็นกลุ่มต่างชาติที่ไม่ได้รับอนุญาต วันนี้ทางตำรวจท่องเที่ยวเองร่วมกับ ตรวจ สภ.เกาะพะงัน ตม. และฝ่ายปกครองบนเกาะพะงัน เข้าไปร่วมตรวจสอบบริษัทแห่งนี้ เมื่อเข้าไปก็พบว่ามีชาวรัสเซีย ซึ่งมีหน้าที่รับส่งรถให้กับลูกค้า และมีคนไทยซึ่งแสดงตัวว่าเป็นคนดูแลอยู่

จากการตรวจสอบเข้าไปก็พบว่ายังมีชาวเมียนมาให้บริการลูกค้า ส่วนด้านหลังก็จะเปิดเป็นโรงแรม ซึ่งตรวจสอบเบื้องต้นแล้วไม่มีใบอนุญาต และด้านหลังก็ยังเปิดเป็นอู่ซ่อมรถ มีการถอดชิ้นส่วนอะไหล่ของรถจักรยานยนต์ และสลับคัน เปลี่ยนแปลงรถ จากการสอบถามไปทางอำเภอเกาะพะงัน ก็ไม่พบว่ามีการขอใบอนุญาตในการเปิดอู่ซ่อมแต่อย่างใด และยังมีหญิงชาวเมียนมาทำหน้าที่เป็นแม่บ้าน ซึ่งจากการตรวจสอบชาวต่างชาติทั้งหมด พบว่าการทำงานไม่ถูกต้องตามใบอนุญาต

สำหรับหญิงชาวไทยเอง ก็ไม่มีใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจโรงแรม จึงเข้าไปตรวจสอบและยึดรถมา ซึ่งรถทั้งหมด 400 คัน ซึ่งเป็นรถจักรยานยนต์ และมีการถอดประกอบชิ้นส่วน ซึ่งจะมีการตรวจสอบต่อไปว่ารถที่ได้มาโดยความถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ได้มาจากการกระทำผิดหรือไม่ นอกจากนี้ก็ยังมีรถยนต์อีกประมาณ 20 กว่าคัน ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะมีการส่งต่อให้กับพนักงานสอบสวน สภ.เกาะพะงันตรวจสอบกันต่อไป

แต่จากการสอบถามเบื้องต้น ผู้ประกอบการแจ้งว่ารถได้รับมาจากการประมูล แต่เท่าที่จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ ก็ทราบว่าจริงๆ แล้ว มีการนำรถของคนที่อยู่บนเกาะพะงัน ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวที่ซื้อรถมา และนำรถมาขายให้กับทางร้านนี้ และมีบางส่วนจากการสันนิษฐานว่าเป็นรถที่หายในเกาะพะงัน และถูกส่งมาที่ร้านแห่งนี้ และมีการชำแหละ ซึ่งต้องรอการตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง หลังจากนี้ก็คงต้องส่งตรวจพิสูจน์หลักฐานว่ารถแต่ละคันมีที่มาที่ไปอย่างไร เลขทะเบียนเลขรถตรงกันหรือไม่ มีการจดทะเบียนถูกต้องหรือไม่ และรถที่มีการถูกชำแหละแล้ว มีการแจ้งเปลี่ยนอุปกรณ์รถถูกต้องหรือไม่ ซึ่งบริษัทนี้มีเจ้าของจริงๆ เป็นชาวรัสเซีย

จากการสอบถามหญิงไทย ทราบว่าตนเองก็มีชื่อเป็นหุ้นส่วนของบริษัทด้วย ซึ่งตนเองเป็นลูกจ้าง ในกรณีนี้อาจจะเข้าข่ายเป็นนอมินีหรือไม่ ต้องมีการสืบสวนในการดูเรื่องเส้นทางการเงิน การประกอบการธุรกิจอีกครั้งว่าผิดหรือไม่ ถ้าผิดก็แจ้งข้อหาเพิ่มเติมไป

รอง ผบช.ทท. ยังกล่าวอีกว่า สำหรับเจ้าของตัวจริงเป็นชาวรัสเซีย อยู่ที่ภูเก็ต และเป็นนายทุนในการเปิดบริษัท ก็คงต้องสืบสวน และมีการแจ้งความดำเนินคดีต่อไป เพราะในการจ้างคนงานที่ไม่ถูกต้อง ต้องถูกดำเนินคดี และการเปิดโรงแรม เปิดอู่ซ่อมรถที่ไม่มีใบอนุญาตก็มีความผิดเช่นกัน และในเบื้องต้นหญิงไทยที่เปิดโรงแรมไม่ถูกต้อง ก็จะมีการแจ้งข้อกล่าวหาเรื่องใบอนุญาตโรงแรมไม่ถูกกฎหมาย และมีการเปิดอู่ซ่อมรถที่ไม่มีใบอนุญาต มีการจ้างงานบุคคลต่างด้าวที่มีลักษณะงานไม่ตรงกับใบอนุญาต

...

ซึ่งตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี และนโยบายของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ทางตำรวจท่องเที่ยว และตำรวจภูธรภาค 8 และทางสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ได้ร่วมมือกันตรวจสอบการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และในช่วงนี้เป็นช่วงของการระดมกวาดล้างตามนโยบายตำรวจท่องเที่ยวด้วย และทำทั่วประเทศ และในส่วนเกาะพะงัน ก็มาเจอเคสที่เป็นกรณีที่ให้เช่ารถ ซึ่งรถที่พบมีจำนวนมาก 300 - 400 คัน ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะทำการผิดกฎหมาย ก็อยู่ระหว่างการตรวจสอบ สำหรับการกวาดล้างก็ต้องทำกันต่อไปในหลายพื้นที่ และมีการตรวจสอบการทำงานของบุคคลต่างด้าวว่าถูกต้องหรือไม่ แต่ถ้าทำผิดกฎหมายก็ต้องถูกดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดต่อไป รอง ผบช.ทท. กล่าว.