ชนวนเหตุปล้นร้านทองสุไหงโก-ลก 600 บาท คาดเอี่ยวปมตัด "ท่อน้ำเลี้ยงกลุ่มก่อการร้าย" หลังไทย-มาเลเซีย ปิดตายช่องทางข้ามธรรมชาติ คาดทองถูกขายฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน
ความคืบหน้าเหตุการณ์อุกอาจบุกปล้นร้านทองเยาวราชกรุงเทพ ภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง กลางอำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ช่วงเย็นของวันที่ 5 ต.ค. 68 ที่ผ่านมา และเหตุลอบวางระเบิดตู้เอทีเอ็มหลายครั้งในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ล่าสุดหน่วยข่าวกรองความมั่นคงระบุว่า มีชนวนเหตุสำคัญมาจาก "ความขัดสนด้านการเงิน" ของกลุ่มขบวนการ หลังนโยบายตรึงแนวชายแดนไทย-มาเลเซียได้ผลอย่างเด็ดขาด จนทำให้ "ท่อน้ำเลี้ยง" จากธุรกิจสีเทาต้องหยุดชะงัก
แหล่งข่าวความมั่นคงในจังหวัดนราธิวาส ให้ข้อมูลว่า นับตั้งแต่ พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ได้สั่งการให้กองกำลังบูรณาการควบคุมช่องทางข้ามธรรมชาติในพื้นที่ อำเภอตากใบ, สุไหงโก-ลก และแว้ง รวมระยะทางกว่า 100 กิโลเมตร โดยส่งเจ้าหน้าที่ทหารชุด ปชด. (ป้องกันชายแดน) ถึง 7 กองร้อย ร่วมกับ อส. ปฏิบัติหน้าที่เฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมงต่อเนื่องยาวนานกว่า 1 ปี
นโยบายนี้ได้รับความร่วมมือจาก ตำรวจมาเลเซีย (PDRM) ที่เข้าตรึงแนวชายแดนฝั่งตรงข้าม และปิดประกาศห้ามใช้ช่องทางข้ามหลายจุดอย่างชัดเจน โดยเฉพาะที่บ้านลูโบ๊ะฆง ซึ่งเป็นเส้นทางหลักที่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบใช้ลักลอบขนอาวุธ วัตถุระเบิด สินค้าหนีภาษี และยาเสพติด รวมถึงเป็นเส้นทางหลบหนีหลังก่อเหตุ
...
ผลจากการปิดตายเส้นทางนี้ ทำให้กลุ่มขบวนการไม่สามารถเคลื่อนไหวได้สะดวก และสูญเสีย "ต้นทุน" จากธุรกิจสีเทาที่เคยใช้หล่อเลี้ยงการเคลื่อนไหวไปจนหมดสิ้น ซึ่งเป็นที่มาที่ไปของการเปลี่ยนเป้าหมายมาก่อเหตุปล้นร้านทอง และวางระเบิดตู้เอทีเอ็ม เพื่อหาทุนสำรองในการขับเคลื่อนกิจกรรมก่อความไม่สงบต่อไป
ส่วนความคืบหน้าทางคดีปล้นทอง 600 บาท เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้เร่งรวบรวมพยานหลักฐานจากที่เกิดเหตุ รวมถึงภาพจากกล้องวงจรปิดทั้งภายในและภายนอกห้างฯ เพื่อนำไปประมวลผลทางเทคนิคและเปรียบเทียบรูปพรรณ กับกลุ่มบุคคลในแฟ้มประวัติความมั่นคงที่เคยก่อเหตุสำคัญ ทั้งจากเหตุการณ์ลอบใช้อาวุธปืนและวางระเบิดร้านทองที่อำเภอตากใบ เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 66 กับเหตุการณ์ยิงใส่และวางระเบิดคาร์บอมบ์ที่ว่าการอำเภอสุไหงโก-ลก เมื่อวันที่ 9 มี.ค. 68
นอกจากนี้ ยังมีการเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอและรอยลายนิ้วมือแฝง จากวัตถุระเบิด ตู้โชว์ทอง และรถยนต์กระบะ 2 คันที่คนร้ายปล้นมา เพื่อยืนยันตัวตน ก่อนจะดำเนินการออกหมายจับต่อไป
สำหรับการติดตามทองรูปพรรณ 600 บาท ที่ถูกปล้นไป หน่วยงานความมั่นคงประเมินว่า กลุ่มคนร้ายน่าจะแยกทองออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนใหญ่อาจถูกนำเข้าไปขายหรือแปรรูปในประเทศมาเลเซีย เพื่อเร่งผันเป็นเงินสดใช้เป็นต้นทุนในการเคลื่อนไหว ส่วนอีกส่วนหนึ่งอาจยังคงอยู่ในความครอบครองของสมาชิกที่ร่วมปฏิบัติการปล้น เพื่อรอโอกาสในการเปลี่ยนเป็นเงินทุนต่อไป.