ศาลอนุญาตให้ประกันตัว “เจ๋ง ดอกจิก” อดีตข้าราชการการเมือง “ศรีสุวรรณ จรรยา” นักร้องเรียน กับพวก ในคดีเรียกรับเงินจากอธิบดีกรมการข้าว ตีหลักทรัพย์คนละ 6 แสนบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 17 ก.ย.68 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ศาลนัดพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีปราบปรามคดีทุจริต 3 เป็นโจทก์ฟ้อง นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก อดีตข้าราชการการเมือง ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี , นายศรีสุวรรณ จรรยา นักร้องเรียน กับพวก ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐาน เรียกรับทรัพย์สินจาก นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว

โดยนายศรีสุวรรณ กล่าวก่อนเข้าฟังคำพิพากษาว่า คดีนี้เป็นคดีการเมืองที่ผู้มีอำนาจต้องการเตะตัดขา เพราะไม่ต้องการให้ตนทำหน้าที่ตรวจสอบนักการเมืองและข้าราชการระดับสูง เพราะสิ่งที่ทำมานับ 10 ปี เป็นที่หวาดผวาของนักการเมืองและข้าราชการจำนวนมาก เรื่องร้องเรียนนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองหลายพรรค จบอนาคตการเมืองของนักการเมืองดังหลายคน จึงเป็นที่มาของการหาเหตุให้ต้องคดี โดยใช้เทคนิควิธีการ ซึ่งในภาษากฎหมายเรียกว่าล่อให้กระทำความผิด ทั้งการเอาถุงเงินไปแขวนหน้าบ้าน หากพฤติกรรมแบบนี้ถือเป็นความผิด อนาคตอาจนำไปใช้กันทั่วประเทศและก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายต่อประชาชน

นายศรีสุวรรณกล่าวว่า ตนให้การปฏิเสธมาโดยตลอด เพราะต้องการพิสูจน์ให้ปรากฏชัดเจน ที่ผ่านมาตนได้รับความเสียหายอย่างมาก ประเด็นสำคัญคือไม่สามารถใช้สิทธิ์ในฐานะประชาชนมาตรวจสอบนักการเมืองและข้าราชการระดับสูงได้มากนัก ทำให้นักการเมืองดีอกดีใจ กระพือปีก กระดี๊กระด๊า ทำอะไรโดยอำเภอใจ แล้วย่ามใจ วันนี้มีความมั่นใจเชื่อมั่นในคำพิพากษาว่า ศาลจะให้เจ้าตัวกลับไปทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งเหมือนเดิม

เมื่อถึงเวลาศาลอ่านคำพิพากษาว่า พิเคราะห์จากพยานหลักฐานแล้วเห็นว่าจำเลยทั้งหมดกระทำความผิดจริง ฐานเป็นพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และสนับสนุนเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มีพยานหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิด ทำคลิปเสียง, คลิปภาพ, ข้อความแชทในแอปพลิเคชัน LINE และหมายเลขธนบัตรที่นำไปมอบให้นายศรีสุวรรณที่บ้านนั้นเป็นหมายเลขเดียวกันกับที่ภรรยาของนายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว เบิกจากธนาคารมาเพื่อเป็นหลักฐานในการส่งมอบเงินในวันเกิดเหตุ

จำเลยที่ 1 ขณะเกิดเหตุเป็นคณะทำงานตรวจราชการที่ 11 และได้รับมอบให้ใช้อำนาจทางปกครอง จำเลยที่ 1 จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1 ว่าไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐจึงฟังไม่ขึ้น โดยคดีนี้โจทก์อ้างคลิปบันทึกภาพและเสียง 40 คลิป จากภรรยาของผู้เสียหาย ซึ่งศาลได้ส่งตรวจพิสูจน์แล้วไม่มีการตัดต่อ และจำเลยที่ 1-3 ไม่ได้ปฏิเสธว่าคลิปและภาพดังกล่าวเป็นความจริง และคลิปและภาพดังกล่าวแสดงเหตุการณ์เป็นลำดับขั้นตอน สอดคล้องกับที่ผู้เสียหายและภรรยาเบิกความ จึงมีน้ำหนักรับฟัง โดยเฉพาะเรื่องที่จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ได้แถลงข่าวที่รัฐสภาว่ากรมการข้าวมีการทุจริตและจะทำการตรวจสอบ ก่อนจะโทรกลับหาผู้เสียหายพูดจูงใจให้ยอมจ่ายเงิน เพื่อไม่ให้เสียชื่อเสียง โดยจำเลยที่ 2 ให้เหตุผลว่าจะพิสูจน์ว่าผู้เสียหายไม่มีความผิด และในวันดังกล่าวจำเลยที่ 3 ได้โทรหาภรรยาผู้เสียหายเพื่อเรียกเงิน แต่ได้ต่อรองจนเหลือราคา 1.5 ล้านบาท จากเดิม 3 ล้านบาท และขอให้จ่ายก่อนปีใหม่

อย่างไรก็ตามมีหลักฐานจากบทสนทนาในแอปพลิเคชัน LINE ถึงการนัดหมายและเรียกรับเงินหลายครั้ง โดยเป็นการสนทนาระหว่างจำเลยที่ 3 ที่เป็นเลขาของจำเลยที่ 1 และยังมีการเชื่อมโยงกับจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 ทั้งบทสนทนาและหลักฐานการโอนเงิน นอกจากนี้ในวันที่ 26 ม.ค. 2567 ภรรยาผู้เสียหายได้นำเงินจำนวน 5 แสนบาทใส่ถุงพลาสติก มาแขวนไว้ที่หน้าประตูบ้านของจำเลยที่ 2 จากนั้นจำเลยที่ 5 ได้นำถุงกลับเข้ามาในบ้าน โดยมีการหยิบใส่ถุงพลาสติกสีดำอันมีลักษณะปกปิดและมีพฤติกรรมน่าสงสัย เป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 5 ทราบว่าเงินดังกล่าวมีที่มาที่ไปอย่างไร พฤติการณ์ของจำเลยทั้ง 5 เป็นการร่วมกันกระทำความผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทำ

พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นฯ โดยร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป และความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติในตำแหน่งหน้าที่ฯ และเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ เรียกรับหรือยอมรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองและผู้อื่นโดยมิชอบ ลงโทษจำคุกเป็นเวลา 6 ปี และให้บวกโทษของจำเลยที่ 1 ในศาลอื่นอีก 4 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 6 ปี 4 เดือน

จำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 5 เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิด จึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ลงโทษจำคุกคนละ 4 ปี ริบเงิน 160,000 บาท ที่จำเลยทั้งห้าได้มาจากการกระทำความผิดตามฟ้องโดยให้จำเลยทั้งห้าชำระเงินจำนวนดังกล่าวต่อศาลภายใน 30 วัน

ภายหลังจำเลยทั้ง 5 ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอประกันตัว ศาลอนุญาตให้ประกันตัวตีหลักทรัพย์คนละ 600,000 บาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ

...