ดีเอสไอ ยันไม่ถือเป็นข้อหนักใจ ถึงแม้การเมืองจะมีเปลี่ยนแปลง เดินหน้าทำคดีฮั้ว-ฟอกเงิน สว. ตามพยานหลักฐานและกรอบอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด ขณะที่พยานจังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 24 ราย ยังเงียบกริบยกกลุ่ม ไม่ให้ความร่วมมือเข้าให้ปากคำดีเอสไอ เตือน หากขัดหมายเรียกพยาน-พฤติการณ์ผิดปกติ จ่อแจ้งความตำรวจท้องที่ดำเนินคดี คาด เดือน ก.ย. ไล่สอบปากคำพยาน 1,200 ราย กระจาย 45 จังหวัดเสร็จสิ้น

เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2568 คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 24/2568 กรณีตรวจสอบขบวนการอั้งยี่ ฟอกเงิน สว. เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้มอบหมายพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจาก 10 กองคดี ประกอบด้วย กองคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กองคดีการเงินการธนาคารและการฟอกเงิน กองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ กองคดีความมั่นคง กองคดีภาษีอากร กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กองคดีทรัพย์สินทางปัญญา กองคดีค้ามนุษย์ และกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ ให้ดำเนินการสอบสวนปากคำพยานทั้ง 1,200 ราย กระจายทั่วพื้นที่ 45 จังหวัด ซึ่งทั้ง 1,200 รายนี้ มีพยานหลักฐานเชื่อได้ว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มที่มีการจัดตั้งขึ้นมาเพื่อให้ไปสมัครวุฒิสภา แต่กลับไม่ได้ลงคะแนนให้ตัวเอง และไปเลือกลงคะแนนให้บุคคลอื่นที่จัดตั้งขึ้น หรือเรียกว่าเป็นการพลีชีพ หรือเป็นเพียงโหวตเตอร์ จึงต้องสอบสวนมาให้ได้ซึ่งข้อเท็จจริงที่เป็นธรรม

อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้คณะพนักงานสอบสวนได้มีการออกหมายเรียกพยานไปแล้ว 72 ราย มาเข้าพบพนักงานสอบสวนเพียง 18 ราย และขณะที่พนักงานสอบสวนยังได้ออกหมายเรียกพยานเพิ่มเติมอีก 480 ราย ในกรณีการออกหมายเรียกพยาน หากมีหมายเรียกพยานครั้งที่ 2 รวมถึงมีพฤติการณ์ไม่ให้ความร่วมมือ ขัดหมายเรียกพยาน พนักงานสอบสวนจะประมวลรายละเอียดทั้งหมด เนื่องจากพยานแต่ละรายอาจมีข้อจำเป็นที่แตกต่างกัน พยานแต่ละจังหวัดก็ไม่เหมือนกัน เพื่อจะได้พิจารณาแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ เพื่อให้ตำรวจดำเนินคดีในส่วนของการขัดหมายเรียกพยานต่อไป

แต่ยืนยันว่าในตอนนี้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษยังไม่มีการแจ้งความขัดหมายเรียกกับพยานรายใด

ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าภายในเดือน ก.ย. คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะสามารถทยอยสอบสวนปากคำพยาน 1,200 ราย ทั้ง 45 จังหวัดเสร็จสิ้น

อย่างไรก็ตามแม้ว่าการเมืองจะมีความเปลี่ยนแปลงอย่างไร และมีการพุ่งเป้าถึงสำนวนคดีอั้งยี่ ฟอกเงิน สว. ของดีเอสไอ ว่าจะเป็นอย่างไรนั้น คณะพนักงานสอบสวนไม่ถือเป็นข้อหนักใจ ก็ต้องดำเนินการตามพยานหลักฐาน เพราะเราทำตามกรอบอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดไว้

ส่วนเรื่องคดีฮั้ว สว. ตามกฎหมายการเลือกตั้งที่ก่อนหน้านี้ดำเนินการโดยคณะอนุกรรมการสืบสวนและไต่สวน คณะที่ 26 ได้มีการส่งไปถึงชั้นที่ 2 (รับผิดชอบโดยรองเลขาธิการ กกต.ที่ได้รับมอบหมาย) ส่วนนี้ก็เป็นพยานหลักฐานคู่ขนานกับคดีอั้งยี่-ฟอกเงิน สว. ของดีเอสไอ ดังนั้น หากส่วนของ กกต. มีความชัดเจนในกลุ่มของผู้กระทำความผิด ก็เป็นเหมือนน้ำหนักค้ำยันพยานหลักฐานระหว่างสำนวนคดีอาญาได้ด้วย ซึ่งสำนวนคดีอั้งยี่-ฟอกเงินของดีเอสไอ หากพบหลักฐานผู้กระทำความผิด ดีเอสไอก็สามารถทยอยส่งฟ้องแต่ละล็อตไปยังพนักงานอัยการคดีพิเศษก่อนได้ หรืออาจรวมเป็นสำนวนกลุ่มใหญ่ภาพรวมก็ได้ อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจและอำนาจของอธิบดีดีเอสไอ

รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา รายงานภายในกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุว่า การสรุปยอดหมายเรียกพยานคดีฮั้ว สว. 5 จังหวัดสำคัญในภาคอีสาน เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีจำนวนหมายเรียกพยานทั้งสิ้น 72 ราย โดยมาเข้าพบพนักงานสอบสวนให้การเพียง 18 ราย แบ่งเป็น จ.บุรีรัมย์ จำนวน 24 ราย ปรากฏว่าไม่มีพยานรายใดเข้าพบพนักงานสอบสวน ส่วน จ.นครราชสีมา จำนวน 2 ราย มีมาเข้าพบพนักงานสอบสวนครบ ขณะที่ จ.ชัยภูมิ มีการออกหมายเรียกไป 4 ราย ทราบว่ามีการขอเลื่อน ส่วน จ.อุบลราชธานี มีการออกหมายเรียกไป 10 ราย มาเข้าพบพนักงานสอบสวนเพียง 5 ราย ส่วน จ.อำนาจเจริญ มีการออกหมายเรียก 32 ราย มาให้ปากคำเพียง 11 ราย

...