"บิ๊กเต่า" เผยพฤติการณ์ทิดอลงกต ใช้เงินบริจาคมหาศาลไม่ทัน จึงนำไปซื้อที่ดิน ทำสนามฟุตบอล ลงทุนในรูปของบริษัท ยอดหลักพันล้าน ยอมเผยข้อมูลส่วนตัว แต่ขอไปเทียบหลักฐานเพื่อให้ได้ความชัดเจนก่อน

วันที่ 26 ส.ค. 68 พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผย ภายหลังเข้าร่วมสอบปากคำ "หลวงพ่ออลงกต" อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ ก่อนที่ "หลวงพ่ออลงกต" จะยินยอมลาสิกขา เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา

โดยพลตำรวจตรีจรูญเกียรติ เปิดเผยว่า วันนี้ตำรวจได้เข้าตรวจค้น 17 จุด และขณะนี้ก็ยังไม่เสร็จสิ้น อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเอกสารต่าง ๆ เมื่อมีความชัดเจนว่ามีความเกี่ยวข้องเกี่ยวโยงกับบุคคลใดอย่างไร ก็จะมีการแถลงข่าวในภายหลัง

แต่เบื้องต้น "อดีตพระอลงกต" ให้ความร่วมมือในหลายเรื่องที่ตำรวจตั้งข้อสงสัย ตำรวจก็ได้พูดถึงความดีที่ท่านสร้างมา และอธิบายว่าเมื่อได้เงินเข้ามาจำนวนมหาศาล และได้กระทำในสิ่งที่ผิด ท่านแยกระหว่างพระธรรมวินัยกับเรื่องกฎหมายบ้านเมืองได้ แยกได้ว่าสิ่งที่ทำบางสิ่งก็มีประโยชน์กับประชาชน บางสิ่งก็ผิดกฎหมายบ้านเมืองก็ยอมรับโดยดี ยินดีเข้าสู่กระบวนการ ยอมลาสิกขาโดยไม่มีการถูกบังคับขู่เข็ญ

ทั้งนี้ ก่อนการสึก ได้เทศน์ให้ประชาชน และพระให้การปฏิบัติตน หรือใช้ชีวิตด้วย ซึ่งตำรวจก็จะเผยแพร่คลิปดังกล่าวต่อไป

ส่วนพฤติการณ์ในการกระทำความผิดนั้น เป็นการที่มีก้อนเงินเข้ามามากมาย และนำไปใช้จ่ายอย่างอื่นไม่ทัน จึงได้นำไปซื้อที่ดิน ทำสนามฟุตบอล ลงทุนในรูปของบริษัท ที่มีทั้งทำกำไร และขาดทุน ซึ่งน่าจะมียอดหลักพันล้านขึ้นไป เมื่อเงินบริจาคเยอะไป ใช้ไม่ทัน ก็ทำให้พระเกิดกิเลส

ส่วนเรื่องไทม์ไลน์ของอดีตพระอลงกต ประเด็นบัตรประชาชนต่าง ๆ ตำรวจขอตรวจสอบเอกสารต่าง ๆ ตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบันให้ละเอียดก่อน โดยช่วงเวลาที่ประวัติของ "อดีตพระอลงกต" หายไปนั้น ท่านให้ข้อมูลมาแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ต้องไปเปรียบเทียบกับเอกสารพยานหลักฐานต่าง ๆ ก่อนเพื่อให้ได้ความชัดเจน และจะต้องมีการสอบปากคำ "อดีตพระอลงกต" รวมถึงญาติพี่น้อง ผู้ที่เกี่ยวข้องก่อน ซึ่งถ้าปลอมใบสุทธิก็เป็นความผิดทางอาญา

...

ส่วน "หมอบี" ยังให้การอยู่ แต่ไม่ค่อยเป็นประโยชน์สักเท่าไร

ด้าน พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผู้บังคับการปราบปราม เปิดเผยว่า ตำรวจกองบังคับการปราบปรามจะดำเนินคดีหมอบีเป็นหลัก เรื่องบัญชีใจฟ้า 300 ล้านบาท ที่มีวัตถุประสงค์บริจาคให้วัดพระบาทน้ำพุ แต่ถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์

เบื้องต้นมีการปิดบัญชีแล้ว และเปลี่ยนกลับไปเป็นบัญชีวัดแล้ว หลังจากนี้ตำรวจก็จะขยายผลบุคคลที่เกี่ยวข้องบ้าง ขยายผลทรัพย์สินของบุคคลใกล้ชิดที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ก็จะแจ้ง ปปง. ยึดอายัดทรัพย์ต่อ

อย่างไรก็ตามปัญหาของคดีนี้คือโอนเงินออกจากบัญชีมาเป็นเงินสด การใช้จ่ายต่างๆ จะเป็นเงินสดทั้งหมด ทำให้การตรวจสอบธุรกรรมการเงินต้องใช้เวลา

ส่วนหลังสอบปากคำเสร็จจะให้ประกันตัวหรือไม่นั้น ยังต้องพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แต่ยืนยันว่าตำรวจได้เฝ้าติดตามและพบพฤติการณ์ที่อาจจะหลบหนี จึงต้องเข้าจับกุมตามหมายจับ

ขณะที่นายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการ ปปท. บอกว่า ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการจนถึงวันนี้ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบเส้นทางการเงิน เบื้องต้นที่พอจะกล่าวได้มีเข้าไปเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์เกี่ยวกับบุคคลรายบุคคล ยอดจำนวนเงินต้องใช้คำว่า “มหาศาล” ไม่ใช่หลัก 10 ล้านบาทหรือ 100 ล้านบาท แต่เป็นหลักมหาศาล ซึ่งในชั้นนี้ขอให้ทางเจ้าหน้าที่ และ ปปง. ได้ร่วมกันปฏิบัติดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้เป็นที่ยุติก่อน 

เช่นเดียวกับทาง ป.ป.ช. จะดำเนินการในส่วนที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริง ค้นหาความจริงที่ประชาชนสงสัยว่าเงินบริจาคได้ใช้ในทางที่ถูกต้องหรือไม่ หากเห็นว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ก็คงจะต้องมีการส่งให้ ป.ป.ช. ดำเนินการต่อไป