ตำรวจไซเบอร์แถลงผลปฏิบัติการ รวบหนุ่มเกาหลีใต้ เครือข่ายบอสจีนเทา แก๊งคอลเซ็นเตอร์ รับจ้างขับรถซ่อนเครื่องส่ง SMS ปลอม ตระเวนส่งข้อความหลอกประชาชนกดลิงก์ ทั่วกรุงเทพฯ ผบช.ไซเบอร์เผยแค่ 3 สัปดาห์ จับได้แล้ว 3 ราย สาเหตุมาจากช่วงนี้คนไทยข้ามไปกัมพูชาลำบากมากขึ้น ทำให้ต้องกลับมาใช้วิธีจ้างคนตระเวนส่งลิงก์ดูดเงินเหมือนเดิม พร้อมแนะนำวิธีสังเกตไม่ให้หลงกลมิจฉาชีพ

เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 20 สิงหาคม 2568 ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เมืองทองธานี อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผบก.สอท.1 พล.ต.ต.สุรพงษ์ ไทยประเสริฐ ผบก.อก.สอท. พ.ต.อ.ปรีดา คงจัด รอง ผบก.สอท.1 พ.ต.ท.เรืองกฤษณ์ ศิริมาจันทร์ รอง ผกก.2 บก.สอท.1 พ.ต.ท.ซูเกียรติ ชาตะรูปะ สว.กก.2 บก.สอท.1 นายวิสิษฐศักดิ์ เจริญไชย ผู้จัดการงานองค์กรสัมพันธ์ AIS ร่วมกันแถลงผลปฏิบัติการรวบหนุ่มเกาหลีเหนือเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ติดตั้งเครื่องจำลองสถานีฐาน (False Base Station) ขับตระเวนส่ง SMS ปลอมแนบลิงก์ดูดเงินกลางกรุง

พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 10 และ 16 ส.ค. 68 ตำรวจไซเบอร์จับกุมผู้กระทำผิด 2 ราย ที่ติดตั้งเครื่องจำลองสถานีฐาน (False Base Station) ไว้ในรถยนต์ เพื่อตระเวนส่งสัญญาณ SMS ปลอมแนบลิงก์ที่เข้าสู่เว็บไซต์ปลอม เพื่อหลอกประชาชนที่หลงเชื่อให้สูญเสียทรัพย์สิน โดยครั้งแรกจับกุมได้บริเวณปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งย่าน ถ.สิรินธร แขวงบางพลัด เขตบางพลัด กรุงเทพฯ และรายที่ 2 จับกุมได้บริเวณย่านถนนข้าวสาร พื้นที่ของ สน.ชนะสงคราม ซึ่งทั้ง 2 รายให้การว่าได้รับการว่าจ้างจากนายทุนชาวจีน

...




ล่าสุด พ.ต.ท.เรืองกฤษณ์ ศิริมาจันทร์ รอง ผกก.2 บก.สอท.1 พ.ต.ท.ซูเกียรติ ชาตะรูปะ สว.กก.2 บก.สอท.1 พร้อมด้วยตำรวจชุดสืบสวน กก.2 บก.สอท.1 พบการก่อเหตุในลักษณะเดียวกันอีก โดยมีคนร้ายได้ขับรถยนต์ที่ติดตั้งเครื่องจำลองสถานีฐาน (False Base Station) ไว้ภายในรถยนต์ เพื่อกระจายสัญญาณไปตามพื้นที่ต่างๆ ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ โดยเฉพาะบริเวณที่มีผู้คนพลุกพล่าน จึงกระจายกำลังลงพื้นที่ตรวจสอบ โดยวางกำลังค้นหาคนร้ายที่ก่อเหตุรอบพื้นที่ กทม. โดยเฉพาะถนนในเส้นทางหลักและย่านชุมชน

กระทั่งวันที่ 19 ส.ค. ที่ผ่านมา เวลา 11.00 น. ได้พบรถยนต์ต้องสงสัย ยี่ห้อ Toyota รุ่น Yaris Ativ สีขาว หมายเลขทะเบียน ขต 1160 อุบลราชธานี โดยตำรวจได้ตรวจพบสัญญาณคลื่นความถี่ที่ผิดปกติ เคลื่อนที่ไปพร้อมรถยนต์คันดังกล่าว จึงได้สะกดรอยติดตามผ่านแยกเอกมัย เข้าถนนเพชรบุรีตัดใหม่ มุ่งหน้าถนนอโศก - ดินแดง แยกประชาสงเคราะห์ และอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

ในขณะที่กำลังขับรถสะกดรอยติดตามตำรวจหลายนายต่างก็ได้รับข้อความ SMS ที่แนบลิงก์เข้าสู่เว็บไซต์ปลอมเข้ามาในโทรศัพท์มือถือ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามคนร้ายมาถึงบริเวณแยกประชาสงเคราะห์ ถนนอโศก-ดินแดง มุ่งหน้าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เขตดินแดง กรุงเทพฯ จึงแสดงตัวเข้าสกัดรถยนต์คันดังกล่าว เพื่อทำการตรวจค้น พบ MR.DOHYONG KIM อายุ 35 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ ขับรถมาคนเดียว ตรวจสอบภายในรถบนเบาะหลังและห้องเก็บสัมภาระด้านท้าย พบกล่องอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กำลังทำงานอยู่และมีการเชื่อมต่อกับเครื่องจ่ายไฟเคลื่อนที่ (Power Station)

ก่อนประสานไปยังเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญทีมวิศวกรรมจาก AIS ให้มาร่วมตรวจสอบพบว่าเป็นเครื่องจำลองสถานีฐาน (False Base Station) เป็นอุปกรณ์เครื่องวิทยุโทรคมนาคมที่ดัดแปลงการส่งสัญญาณในคลื่นความถี่ต่างๆ เข้าอุปกรณ์มือถือที่อยู่ได้ภายในรัศมี 3 กิโลเมตร ซึ่งเครื่องกำลังทำงานอยู่และมีการเชื่อมต่อกับเครื่องจ่ายไฟเคลื่อนที่ (Power Station) พร้อมอุปกรณ์กระจายสัญญาณจำนวน 1 กล่อง และโทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง ซึ่งระหว่างการตรวจค้นนั้น ก็ยังมี SMS แนบลิงก์เข้าสู่เว็บไซต์ปลอมเข้ามาในกล่องข้อความโทรศัพท์มือถือของตำรวจชุดจับกุมอย่างต่อเนื่อง

จึงทำการตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์มือถือของ MR.DOHYONG KIM พบข้อความการสนทนาระหว่างผู้ต้องหากับผู้สั่งการชาวจีน ผ่านทางแอปพลิเคชัน Telegram โดย MR.DOHYONG KIM ให้การยอมรับว่า ได้รับการติดต่อจากชาวจีนรายหนึ่ง ผ่านแอปพลิเคชัน Telegram โดยว่าจ้างให้นำอุปกรณ์กระจายสัญญาณดังกล่าวไปติดตั้งในรถ เพื่อให้ขับรถตระเวนส่ง SMS ในเขตพื้นที่ต่างๆ ของกรุงเทพฯ เลือกเป้าหมายเฉพาะบริเวณที่มีผู้คนพลุกพล่าน โดยชาวจีนผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้กำหนดเส้นทางในการขับขี่ให้ในแต่ละวัน เมื่อขับรถไปยังจุดต่างๆ ตามที่กำหนดแล้ว ก็จะต้องรายงานให้ผู้ว่าจ้างทราบความเคลื่อนไหวทุกๆ 30 นาที ส่วนรถยนต์คันที่ใช้ก่อเหตุเป็นรถเช่า ที่นายจ้างชาวจีนโอนเงินมาให้เพื่อนำไปจ่ายค่าเช่ารถ ซึ่งที่ผ่านมาได้ทำมาแล้ว 3 ครั้ง ตั้งแต่ช่วงวันที่ 17 ส.ค. - 19 ส.ค. 68 โดยได้รับค่าตอบแทนวันละ 100,000 วอน หรือราว 2,339 บาท แต่เริ่มต้นในครั้งแรกนี้นายจ้างจะจ่ายเงินเป็นรายสัปดาห์ จำนวน 550 USD หรือราว 17,869 บาท

พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวต่อว่า สำหรับการก่อเหตุในลักษณะดังกล่าว ถือว่ามีการกระทำที่เป็นขบวนการ ซึ่งจะมีความผิดฐานอั้งยี่ซ่องโจร และยังอาจเข้าข่ายความผิดอีกหลายข้อหา โดยหากตรวจสอบพบว่ามีผู้ตกเป็นเหยื่อก็จะถูกดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันฉ้อโกง / หากพบว่ามีการร่วมกันกับคนร้ายที่อยู่ในต่างประเทศก็จะมีความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ / ทั้งนี้ เครื่อง FBS ไม่มีจำหน่ายในไทย ดังนั้น หากผู้ใดนำเข้าหรือครอบครองก็จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากรด้วย โดยภายในระยะเวลา 3 สัปดาห์ ตำรวจไซเบอร์สามารถจับกุมผู้ต้องหาที่ตระเวนส่ง SMS ปลอมได้แล้ว 3 ราย สาเหตุหนึ่งเกิดจากช่วงนี้คนไทยข้ามไปกัมพูชาลำบากมากขึ้น แก๊งคอลเซ็นเตอร์จึงหาคนไทยไปทำงานในขบวนการคอลเซ็นเตอร์และพาบัญชีม้าข้ามไปสแกนหน้าได้ยาก ทำให้ต้องกลับมาใช้วิธีจ้างคนตระเวนส่งลิงก์ดูดเงินเหมือนเดิม จึงอยากฝากเตือนประชาชนให้ระมัดระวัง พร้อมย้ำว่าธนาคารหรือศูนย์การค้าจะไม่มีการส่งลิงก์ใดๆ เพื่อขอข้อมูลส่วนบุคคล / หากพบข้อความต้องสงสัยสามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วนศูนย์ AOC 1441 หรือสายด่วน 191

สำหรับเครื่อง False Base Station จะสามารถเปลี่ยนชื่อผู้ส่ง (Sender Name) ให้เหมือนข้อความจริงได้ โดยจะมีการตัดสัญญาณเครือข่ายมือถือจริงของเหยื่อ ก่อนส่งข้อความปลอมให้ โดยจะสังเกตได้จากสัญญาณโทรศัพท์ที่จะลดคุณภาพลงอย่างรวดเร็วจาก 5G ลงมาเหลือ 3G หรือต่ำกว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ ดังนั้น เมื่อได้รับข้อความต้องสังเกตว่าเป็นข้อความจากเครือข่ายผู้ให้บริการมือถืออื่นที่ไม่ได้ใช้บริการ (เช่น ใช้ AIS แต่มี DTAC ส่งมา) หรือมีการแนบลิงก์มาด้วยหรือไม่




โดยตำรวจได้ดำเนินคดีในความผิดฐาน 1. ร่วมกันทำ มี ใช้ นำเข้า นำออก หรือค้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต ตามมาตรา 6 พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 2. ร่วมกันตั้งสถานีวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 3. ร่วมกันใช้คลื่นความถี่ในการประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยไม่ได้รับอนุญาตอันมีลักษณะที่เป็นการประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่สาม ตามมาตรา 67 (3) ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม 4. ร่วมกันพยายามฉ้อโกงประชาชนฯ ตาม ป.อาญา มาตรา 343, ร่วมกันกระทำโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 14 (1) 5. ร่วมกันดักรับไว้ ใช้ประโยชน์ หรือเปิดเผยโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งข่าววิทยุคมนาคมที่มิได้มุ่งหมายเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติหรือประชาชน 6. ร่วมกันกระทำความผิดฐานอั้งยี่ ตาม ป.อาญา มาตรา 209

พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ทางตำรวจไซเบอร์อยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผลไปยังบอสชาวจีนรายดังกล่าว และหาความเชื่อมโยงไปยังกลุ่มผู้ก่อเหตุที่เคยจับได้ก่อนหน้านี้ ว่าเป็นกลุ่มขบวนการเดียวกันหรือไม่ เพื่อเร่งรวบรวมพยานดำเนินคดีชาวต่างชาติรวมทั้งผู้ร่วมขบวนการชาวไทยที่เกี่ยวข้องต่อไป

...