ย้อนคดี "น้องชมพู่" เด็กหญิงวัย 3 ขวบ หายออกจากบ้าน ไปเสียชีวิตปริศนาบนเขา สู่ฟีเวอร์ "บ้านกกกอก" สื่อหลัก-ยูทูบเบอร์ ปักหลักรายงานข่าวกันเป็นเดือน กระทั่งล่าสุด ศาลอุทธรณ์เพิ่มโทษจำคุก "ลุงพล" ใน 3 ข้อหา
หากยังจำกันได้ คดีนี้ถือเป็นคดีใหญ่ ที่อยู่ในความสนใจของคน ณ ขณะนั้น สำหรับการเสียชีวิตของ "น้องชมพู่" เด็กหญิงวัย 3 ขวบ ที่หายปริศนาไปจากบ้านพัก ในพื้นที่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ตั้งแต่เช้าวันที่ 11 พ.ค.2563 ก่อนที่จะมีคนไปพบว่าเสียชีวิตบนเขา ในป่าภูเหล็กไฟ ซึ่งมีระยะทางห่างจากบ้านถึง 2 กิโลเมตร
ย้อนรอยการเสียชีวิตของ "น้องชมพู่"
11 ก.ค. 63 น้องชมพู่ วัย 3 ขวบ หายออกจากบ้าน ขณะที่นั่งเล่นอยู่บริเวณหน้าบ้าน ซึ่งพ่อและแม่ ออกไปทำไร่แต่เช้า และเมื่อทุกคนรู้ว่าน้องชมพู่ หายตัวไป จึงรีบออกค้นหา
หลังจากนั้น 3 วัน (14 ก.ค.) ชาวบ้านคนหนึ่ง ซึ่งขึ้นไปเก็บเห็ดและหาของป่า กลับลงมาแจ้งเบาะแสว่า พบรองเท้าแตะของเด็ก วางอยู่บนหินกลางป่า จึงนำเจ้าหน้าที่ ชาวบ้าน และครอบครัวขึ้นไปค้นหา
...
กระทั่งเจ้าหน้าที่พบศพ น้องชมพู่ นอนเสียชีวิต ห่างจากจุดที่พบรองเท้าประมาณ 5 เมตร ห่างจากบ้านน้องชมพู่ประมาณ 2 กม. ตามลำตัวมีร่องรอยถูกหนามเกี่ยว กางเกงถูกถอดไว้ข้างก้อนหิน
จากนั้นมีการส่งศพผ่าชันสูตร ที่แผนกนิติเวช โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ผลปรากฏว่า สภาพกะโหลกปกติ ไม่แตกร้าว คอไม่หัก ไม่มีรอยฟกช้ำ ขณะที่อวัยวะภายในเริ่มเน่า จนไม่สามารถพิสูจน์สมองและปอดกระเพาะอาหารไม่มีอาหารหลงเหลือ มีเพียงของเหลว 10 มิลลิลิตร อวัยวะเพศไม่พบร่องรอยจากการถูกล่วงละเมิด เยื่อพรหมจารียังอยู่ครบ
ขณะที่ มีการชันสูตรอีกครั้ง จากสถาบันนิติเวช รพ.ตำรวจ ระบุว่า ไม่ปรากฏสาเหตุการเสียชีวิต แต่พบบาดแผลตามร่างกายและอวัยวะเพศ โดยมีรายงานจากแพทย์ชี้ว่าไม่ใช่บาดแผลที่เกิดจากการร่วมเพศ แต่เกิดจากการกระแทกด้วยของแข็ง ทำให้เกิดบาดแผล ไม่พบอสุจิ หรือสารคัดหลั่งแฝงในร่างกาย ร่างกายขาดน้ำและอาหารก่อนเสียชีวิต
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า น้องชมพู่ อาจถูกล่อลวงออกมาจากบ้าน เนื่องจากพื้นที่ป่าบริเวณนี้ เป็นไปได้ยากที่เด็กวัย 3 ขวบ จะเดินขึ้นมาเองได้ ก่อนที่จะคุมผู้ต้องสงสัย ที่ชาวบ้านเห็นว่า เดินผ่านบริเวณบ้านน้องชมพู่ในตอนนั้นไปสอบ พร้อมเก็บ DNA เพื่อตามหาคนร้าย
กระทั่งวันที่ 20 พ.ค. 63 ครอบครัวตัดสินใจฌาปนกิจศพน้องชมพู่ ที่ป่าช้าบ้านกกกอก โดยเผาแบบเชิงตะกอนแบบโบราณ ตามความเชื่อ
ปรากฏการณ์ "ลุงพล-บ้านกกกอกฟีเวอร์"
ช่วงต้นเดือน ก.ค. ปีเดียวกัน ลุงพล ถูกเชิญไปออกรายการโทรทัศน์ เนื่องจากเป็นคนที่ติดตามเจ้าหน้าที่ขึ้นไปหาน้องชมพู่ กระทั่งเจอร่างของน้องในคืนนั้น พร้อมยืนยันว่า ตัวเองไม่ได้เป็นคนฆ่าหลานล้านเปอร์เซ็นต์ อีกทั้งยังรักเหมือนลูกตัวเอง พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตพ่อแม่น้องชมพู่
ส่วนพ่อและแม่น้องชมพู่เอง ก็เปิดใจสงสัยบางอย่างในตัว "ลุงพล" ซึ่งเป็นพี่เขย เนื่องจากพบพิรุธหลายประเด็น ให้ข้อมูลก็ไม่ตรงกัน อีกทั้งลุงพล ยังเป็นหนึ่งในคนที่สนิทกับน้องมาก
ซึ่งการเสียชีวิตของเด็กน้อยวัย 3 ขวบ ทิ้งปริศนาเอาไว้มากมาย แม้จะยังไม่ได้คำตอบ แต่กลับเกิดปรากฏการณ์ เชียร์ และทฤษฎีสมคบคิดต่างๆ สื่อหลายช่อง รวมไปถึงยูทูบเบอร์ ต่างเข้าไปปักหลักรายงานเรื่องน้องชมพู่ ส่งผลให้ "บ้านกกกอก" เวลานั้น ไม่ต่างอะไรกับ รายการเรียลลิตี้ในทีวี
โดย "ลุงพล" เองดูเหมือนจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ มียูทูบเบอร์ ตามไลฟ์สด เกาะติดชีวิตประจำวัน กระทั่งมีแฟนคลับ และได้ร่วมร้องเพลงกับ "จินตหรา พูนลาภ" จนมีแฟนคลับ และเกิดดราม่าขึ้นมากมาย จะเรียกว่ามีดราม่ารายวันก็ไม่ผิด
...
รวมหลักฐาน ก่อนออกหมายจับ "ลุงพล"
2 ต.ค. 63 พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. (ขณะนั้น) นำแถลงข่าวความคืบหน้าคดีน้องชมพู่ จากการสอบปากคำ 384 ปาก นำเข้าสำนวนคดี 120 ปาก มีพยานวัตถุ 113 ชิ้น เป็นพยานในที่เกิดเหตุ 16 ชิ้น ตรวจ DNA จำนวน 154 ตัวอย่าง
สรุปได้ว่า "น้องชมพู่" ไม่สามารถเดินขึ้นเขาภูเหล็กไฟได้ด้วยตัวเอง ทางขึ้นเขาภูเหล็กไฟมี 4 เส้นทาง และพบเส้นผมน้องชมพู่ 36 เส้น ถูกตัด หรือเฉือน ซึ่งน้องไม่สามารถตัดผมตัวเองได้ น้องชมพู่เสียชีวิต ระหว่างเวลา 14.30 น. ของวันที่ 12 พ.ค. ถึงเวลา 14.30 น. ของวันที่ 13 พ.ค.63
พร้อมทั้งมีการตั้งข้อหาไว้เบื้องต้น แต่ยังไม่ระบุว่าตั้งข้อหาใคร ประกอบด้วย พรากเด็กและกักขังหน่วงเหนี่ยวเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต และซ่อนเร้น เคลื่อนย้าย ทำลายและอำพรางศพ
ส่วนผู้กระทำผิด ยังมีพยานหลักฐานไม่เพียงพอที่จะออกหมายจับใครได้ หรือดำเนินคดีใครได้ แม้จะรวบรวมพยานหลักฐานมาเป็นเวลา 4 เดือนแล้ว ทั้งนี้คดี มีอายุความ 20 ปี
จากนั้นมีการเชิญผู้เกี่ยวข้องเข้า "เครื่องจับเท็จ" แต่ทุกอย่างก็ยังไม่ชัดเจน กระทั่งก้าวเข้าสู่เดือน พ.ค. 64 หรือ ครบ 1 ปี และมีรายงานข่าวว่าพบหลักฐานบางอย่าง ก่อนที่จะมีการออกหมายจับ "ลุงพล"
...
ปฏิบัติการ "ฟ้าสางกลางกกกอก" จับ "ลุงพล" ตามหมาย
พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ ผกก.สส.บก.ภ.7 ในฐานะคณะทำงานสืบสวนสอบสวนคลี่คลายการเสียชีวิตปริศนาของน้องชมพู่ ตามคำสั่ง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. นำกำลังตำรวจกว่า 30 นาย พร้อมอาวุธครบมือ ถือหมายจับของศาลจังหวัดมุกดาหาร เข้าปิดล้อมตรวจค้นบ้านลุงพล แต่ไม่พบใครในบ้าน
วันเดียวกัน นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ทนายความของลุงพล (ในตอนนั้น) ได้โพสต์ข้อความลงในกลุ่มไลน์ชื่อกลุ่มข่าวทนายประชาชนว่า จะพาลุงพลเข้ามอบตัวกับ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ในเวลา 10.00 น.
กระทั่งเวลา 10.55 น. นายษิทรา ได้นั่งรถเดินทางมาถึง แต่ภายในรถไม่พบตัวลุงพล ทราบว่าลุงพลพร้อมป้าแต๋น ได้เดินทางมาถึงก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งคาดว่าหลบเข้ามาทางลานจอดรถหลัง ก่อนจะเดินเข้าไปภายในอาคาร
ต่อมา พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อม พ.ต.อ.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รอง ผบก.ปส.3 หนึ่งในชุดทำงานคดีน้องชมพู่ พร้อมกำลังตำรวจจำนวนหนึ่ง ได้อ่านหมายจับให้ลุงพลรับทราบ ก่อนให้ตำรวจใส่กุญแจมือลุงพล ขณะนั้นลุงพลพยายามขัดขืนเล็กน้อย แต่ไม่มีอะไรรุนแรง สุดท้ายก็ยอมให้ตำรวจควบคุมตัวแต่โดยดี
สำหรับข้อหาที่ตำรวจแจ้งกับลุงพล คือ พรากผู้เยาว์อายุไม่เกิน 15 ปี, ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกิน 9 ปี เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย และกระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป
จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้พา ลุงพล ลงบันทึกจับกุม พร้อมพาตัวขึ้น ฮ. บินส่งกลับมุกดาหาร เบื้องต้น "ลุงพลให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา" จากนั้นตำรวจได้นำตัวลุงพลส่งดำเนินคดีที่ สภ.กกตูม โดยพนักงานสอบสวนไม่อนุญาตให้ประกันตัว ทำให้ลุงพลต้องนอนในห้องขัง เพื่อรอดำเนินการส่งตัวฝากขังต่อศาลตามขั้นตอนต่อไป
...
ต่อมา "ลุงพล" ได้รับการประกันตัว และมีการตั้งข้อหา "ป้าแต๋น" กระทำการใดๆ แก่ศพน้องชมพู่ หรือสภาพแวดล้อมในที่บริเวณที่พบศพฯ และมีการเพิ่มข้อหาฐานความผิดผู้อื่นโดยเจตนา ในเวลาต่อมา
คดีเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
7 ก.ย. 2564 อัยการจังหวัดมุกดาหาร ระบุว่า ได้มีการสั่งฟ้อง ลุงพล ป้าแต๋น และมีการนัดสืบพยาน ฝ่ายโจทก์ และฝ่ายจำเลย ที่ศาลจังหวัดมุกดาหาร ตามกระบวนการ ก่อนจะนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 31 ตุลาคม 2566 กระทั่ง มีการแจ้งเลื่อนออกไปเป็นปลายเดือนธันวาคม 2566
20 ธ.ค. 66 ศาลจังหวัดมุกดาหาร นัดฟังคำพิพากษาในคดีพนักงานอัยการจังหวัดมุกดาหาร เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายไชย์พล วิภา หรือ "ลุงพล" และ น.ส.สมพร หลาบโพธิ์ หรือ "ป้าแต๋น" สองสามีภรรยา เป็นจำเลยที่ 1-2 กรณีการเสียชีวิตของ "น้องชมพู่"
โดยฟ้อง นายไชย์พล จำเลยที่ 1 ในฐานความผิดฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา, พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุอันสมควร, ทอดทิ้งเด็กอายุยังไม่เกิน 9 ปีไว้ ณ ที่ใดเพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตนโดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแลเป็นเหตุให้ผู้ถูกทอดทิ้งถึงแก่ความตาย, ร่วมกันกระทำการใดๆ แก่ศพ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป
ส่วน น.ส.สมพร หรือ ป้าแต๋น จำเลยที่ 2 ตามความผิดฐาน "ร่วมกันกระทำการใดๆ แก่ศพ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพ หรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป
ก่อนที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ลุงพล (จำเลยที่1) มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 317 วรรคแรก ฐานกระทํา โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จําคุก 10 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันสมควร จําคุก 10 ปี ยกฟ้องป้าแต๋น (จำเลยที่2) นอกจากนี้ ยังให้จําเลยที่ 1 ชําระค่าสินไหมทดแทนทางแพ่งให้แก่โจทก์ร่วมทั้งสอง ซึ่งลุงพลเอง ได้ยื่นประกันตัว เพื่อมาสู้คดีต่อ
ศาลอุทธรณ์สั่งเพิ่มโทษ "ลุงพล" ยกฟ้อง "ป้าแต๋น"
ล่าสุดวันนี้ (13 ส.ค. 68) ศาลจังหวัดมุกดาหาร นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ในคดีหมายเลขดําที่ อ 1013/2564 ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดมุกดาหาร โจทก์ นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา โจทก์ร่วมที่ 1 นายอนามัย วงศ์ศรีชา โจทก์ร่วมที่ 2 กับนายไชยพลหรือพล วิภา จําเลยที่ 1 และนางสาวสมพรหรือแต๋น หลาบโพธิ์ จําเลยที่ 2 โดยมีโจทก์ร่วมทั้งสองยื่นคําร้องขอเรียกค่าสินไหมทดแทนทางแพ่ง
ล่าสุดศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิจารณาแล้วเห็นว่า ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมาดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุอันสมควร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คงจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 10 ปี
ฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนาและทอดทิ้งเด็กอายุยังไม่เกินเก้าปีไว้ ณ ที่ใด เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแลเป็นเหตุให้ผู้ถูกทอดทิ้งถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 306 และ 308 ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดตามฟ้องของโจทก์ พิพากษาแก้จากเดิมลงโทษจำคุก 10 ปี เป็นจำคุก 15 ปี
ฐานร่วมกันกระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 ทวิ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดตามฟ้องของโจทก์ พิพากษาแก้จากเดิมยกฟ้อง เป็นลงโทษจำคุก 1 ปี รวมจำคุก 26 ปี
พ่อ-แม่ น้องชมพู่ ขอบคุณทุกคนที่ให้ความเป็นธรรมกับลูก
นางพชรมน พชรภัสรส์ หรือ นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา แม่ของน้องชมพู่ เผยว่า วินาทีที่ได้ยินคำตัดสิน น้ำตาไหลเลย เพราะลูกได้รับความเป็นธรรมอีกครั้ง ขอบคุณทนาย ขอบคุณทุกคนที่ติดตามให้กำลังใจมาตลอด ขอบคุณที่ศาลเมตตา ขอบคุณความยุติธรรม เมื่อวานก็ได้ไปหาน้องชมพู่มาแล้ว
นายอนามัย วงค์ศรีชา บอกว่า ดีใจที่ผู้พิพากษาได้ให้ความเป็นธรรมกับน้องชมพู่ โดยเพิ่มโทษจาก 20 ปี เป็น 26 ปี พร้อมกับให้ชดใช้ให้แม่น้อง 1.3 ล้าน ชดใช้ให้ตน 1.2 ล้านบาท