อัยการสูงสุดสั่งฟ้องเอาผิด “สมโภชน์ อาหุนัย” กับพวก คดีทุจริต EA 3.4 พันล้าน สั่งให้ดีเอสไอนำตัวผู้ต้องหามาส่งฟ้องศาล แต่ฝ่ายผู้ต้องหาเดินทางไปต่างประเทศ ศาลจึงยกคำร้องขอหมายจับของดีเอสไอ

เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา ทางพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ได้เดินทางไปยื่นคำร้องขอออกหมายจับ นายสมโภชน์ อาหุนัย, นายอมร ทรัพย์ทวีกุล กรรมการและผู้บริหาร บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) และบริษัทย่อยที่ EA เป็นผู้ถือหุ้นร้อยละ 99.99 ได้แก่ บริษัท อีเอ โซล่า นครสวรรค์ จำกัด และบริษัท อีเอ โซล่า ลำปาง จำกัด และนายพรเลิศ เตชะรัตโนภาส

กรณีช่วงปี 2556-2558 บุคคลทั้ง 3 ราย ได้ร่วมกันกระทำการทุจริตการจัดซื้ออุปกรณ์จากต่างประเทศ หรือทุจริตการจัดซื้อโปรแกรมซอฟต์แวร์เพื่อใช้ในโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของ EA ผ่านบริษัทย่อย 2 บริษัทดังกล่าว เป็นเหตุให้บุคคลทั้ง 3 รายได้รับผลประโยชน์ จำนวนรวม 3,465.64 ล้านบาท

คดีนี้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้กล่าวโทษผู้ต้องหาทั้ง 3 ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในความผิดตามมาตรา 281/2 วรรคสอง ประกอบมาตรา 89/7 และมาตรา 89/7 ประกอบมาตรา 89/24 มาตรา 311 มาตรา 313 และมาตรา 315 แห่ง พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ประกอบมาตรา 83 และมาตรา 86 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และส่งเรื่องไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบด้วย

คดีนี้มีการกระทำผิดนอกราชอาณาจักร ซึ่งกฎหมายให้อัยการสูงสุดเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบหรือมีอำนาจตั้งพนักงานสอบสวน อัยการสูงสุดได้มอบให้พนักงานสอบสวนดีเอสไอเป็นพนักงานสอบสวน ซึ่งได้ทำการสอบสวนแล้วมีความเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 3 ส่งไปให้อัยการสูงสุดพิจารณา

...

เมื่ออัยการสูงสุดได้พิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 3 และแจ้งคำสั่งมายังพนักงานอัยการคดีพิเศษ เพื่อแจ้งให้พนักงานสอบสวนดีเอสไอไปดำเนินการนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 3 มาให้อัยการคดีพิเศษเพื่อยื่นฟ้องต่อศาลอาญา ในความผิดตามมาตรา 311 พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และความผิดฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง

มีรายงานจากดีเอสไอว่า ภายหลังพนักงานสอบสวนดีเอสไอขอศาลออกหมายจับ เพื่อนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดมาส่งให้พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษแล้ว ศาลอาญามีคำสั่งยกคำร้อง เนื่องจากผู้ต้องหาเดินทางไปประเทศจีน มีกำหนดเดินทางกลับมาประเทศไทย เป็นเหตุให้ศาลไม่ออกหมายจับให้ ทั้งนี้เมื่อผู้ต้องหาเดินทางกลับประเทศไทยแล้วทางพนักงานสอบสวนดีเอสไอจะขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 3 อีกครั้ง