ตำรวจค้นพลูวิลล่าหรูเพิ่ม เจออุปกรณ์เข้าข่ายเป็นรังแก๊งเกาหลีเทาตั้งฐาน "คอลเซ็นเตอร์" เชื่อย้ายฐานมาจากกัมพูชา ใช้พัทยาเป็นฐานตุ๋นเหยื่อชาวเกาหลีกันเอง นอกจากนี้ยังมีชาวเกาหลีใต้ที่มีการอ้างว่าถูกลักพาตัวมีตัวตนจริง ปลอดภัยดี

จากกรณีตำรวจท่องเที่ยวร่วมกับตำรวจตรวจคนเข้าเมืองและตำรวจ สภ.บางละมุง นำกำลังบุกเข้าช่วยเหลือชาวเกาหลีใต้ หลังสถานทูตฯ ประสานถูกลักพาตัวมายังบ้านพลูวิลล่าหลังหนึ่งในพื้นที่ ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี แต่พอนำกำลังมาถึงคนในบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเกาหลีใต้ พากันวิ่งหนีตำรวจ บางคนกระโดดลงมาจากชั้น 2 ตกลงมากระแทกพื้นอย่างรุนแรงจนได้รับบาดเจ็บสาหัส บางคนวิ่งหนีออกไปถนนสุขุมวิท ตำรวจก็สามารถตามจับกุมได้ทั้งหมด หลังจากนั้นมีการตรวจค้นในบ้าน พบคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ รวมกว่า 50 เครื่อง จึงทำการควบคุมตัวคนในบ้านทั้งหมด เป็นชายชาวเกาหลีใต้รวม 22 คน

เบื้องต้นชาวเกาหลีกล่าวอ้างว่าทำธุรกิจเกี่ยวกับเงินกู้ที่ประเทศเกาหลี แต่ใช้ประเทศไทยเป็นสำนักงานใหญ่ในการประสานงาน ตำรวจเตรียมแจ้งข้อกล่าวหาทำงานในประเทศไทยโดยผิดกฎหมายและอั้งยี่ ตามที่มีข่าวเสนอไปแล้วนั้น (อ่านข่าว: ตร.ล้อมบ้านหรู ช่วยคนถูกลักพาตัว กลับเจอแก๊งเกาหลีใต้ตั้งฐานปล่อยเงินกู้)

...

ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อเวลา 19.00 น. วันนี้ (21 มิ.ย.68) พ.ต.อ. ทรงวุฒิ เชื้อพลากิจ ผกก.2 บก.ทท.1 เปิดเผยว่า ในคดีนี้ ต้นเรื่องมาจากการที่สถานทูตประเทศเกาหลีใต้ประจำประเทศไทย ประสานมายังกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวว่ามีพลเมืองชาวเกาหลีใต้ถูกลักพาตัวและบังคับทำงานเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี

ภายหลังได้รับการประสาน กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวจึงสั่งการให้ชุดสืบสวนตำรวจท่องเที่ยวเมืองพัทยาลงพื้นที่หาข่าวจนพบว่าสัญญาณโทรศัพท์มือถือของบุคคลที่มีการแจ้งว่าถูกลักพาตัวอยู่ในบ้านพลูวิลล่าหลังดังกล่าว จึงได้ขอกำลังสนับสนุนทั้งตำรวจท่องเที่ยว, ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง, และตำรวจ สภ.บางละมุง เข้าทำการปิดล้อมบ้านพลูวิลล่า

พอตำรวจมาถึง ปรากฏว่าพบกลุ่มชาวเกาหลีใต้กำลังนั่งเรียงรายทำงานอยู่หน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ พอเห็นตำรวจก็พากันแยกย้ายวิ่งหนีตายไปคนละทิศทาง ซึ่งตำรวจก็ตามไปจับได้ทั้งหมด บางคนก็กระโดดหนีลงมาจากชั้น 2 จนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งในขณะนี้ยืนยันแล้วว่าบุคคลที่ถูกควบคุมตัวได้ภายในบ้านมีทั้งสิ้น 21 คน เป็นผู้ชายทั้งหมด โดยแบ่งเป็นชาวเกาหลีใต้ 20 คน และคนจีน 1 คน

ส่วนพลเมืองชาวเกาหลีใต้ที่มีการอ้างว่าถูกลักพาตัวมาทำงานกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ปรากฏว่าจากการพิสูจน์ทราบ ยืนยันว่าบุคคลดังกล่าวมีตัวตนอยู่จริง และกำลังนั่งทำงานรวมอยู่กับชาวเกาหลีใต้คนอื่นๆ ซึ่งตำรวจก็ได้ประสานไปแจ้งกลับยังเจ้าหน้าที่สถานทูตเกาหลีใต้ประจำประเทศไทย เพื่อแจ้งกับทางญาติว่าบุคคลดังกล่าวปลอดภัยดี

ส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถยึดได้ในบ้านหลังดังกล่าว เป็นคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (all in one) และคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก รวมกว่า 30 เครื่อง นอกจากนี้ตามโต๊ะคอมพิวเตอร์จะมีโทรศัพท์มือถือโทรผ่านระบบอินเทอร์เน็ต หรือที่เรียกว่า “ไอพีโฟน” วางอยู่ข้างโต๊ะคอมพิวเตอร์อย่างละ 1 เครื่อง, โทรศัพท์มือถือยี่ห้อต่างๆ รวม 40 เครื่อง, และเราท์เตอร์อินเทอร์เน็ต 2 เครื่อง ตำรวจจึงได้ทำการตรวจยึด พร้อมทั้งประสานตำรวจกองพิสูจน์หลักฐาน 2 ชลบุรี (พฐ.) มาทำการตรวจสอบดีเอ็นเอและลายนิ้วมือเพื่อใช้ในการประกอบสำนวนคดี

นอกจากนี้ สิ่งน่าประหลาดใจในการเข้าตรวจสอบในครั้งนี้ พบว่ามีคนจีนหนึ่งเดียวอยู่รวมกลุ่มของชาวเกาหลีใต้และกำลังทำงานอะไรบางอย่าง ซึ่งอุปกรณ์ที่พบค่อนข้างจะเข้าข่ายเกี่ยวกับเรื่อง “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องรอผลการตรวจสอบข้อมูลในคอมพิวเตอร์ทั้งหมดก่อน จึงจะสามารถชี้ได้ว่ากลุ่มชาวเกาหลีใต้และคนจีนทำงานเกี่ยวกับอะไรกันแน่

...

แต่คำกล่าวอ้างในเบื้องต้น บอกเพียงทำธุรกิจเกี่ยวกับเงินกู้ในประเทศเกาหลี ส่วนอย่างอื่นชาวเกาหลียังคงปิดปากเงียบและไม่ยอมให้การใดๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ส่วนการแจ้งข้อกล่าวหา ตำรวจเตรียมเอาผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ. ร่วมกันลักลอบทำงานในประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย

ส่วนเรื่องของการตรวจสอบหนังสือเดินทาง รวมถึงวีซ่า พบว่าทั้งหมดถือวีซ่านักท่องเที่ยว และยังไม่พบว่ามีผู้ใดมีสถานะโอเวอร์สเตย์ อีกทั้งยังพบว่ามีบุคคลเกาหลี 4 คน เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าราชอาณาจักรไทยโดยผิดกฎหมาย ส่วนข้อกล่าวหาอั้งยี่ ขอกลับไปสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติมว่าเข้าข่ายกระทำความผิดในข้อหานี้หรือไม่ เนื่องจากข้อหานี้จะต้องมีการทำข้อมูลรายงานการสืบสวนประกอบสำนวนคดี

ขณะเดียวกันจากแนวทางการสืบสวนสอบสวนในเบื้องต้น พบว่ากลุ่มดังกล่าวสันนิษฐานว่าน่าจะเพิ่งย้ายฐานมาจากที่อื่น และอาจเป็นไปได้ว่าน่าจะย้ายมาจากเขตชายแดนกัมพูชา หลังจากที่ถูกรัฐบาลไทยกดดันอย่างหนักจนมาสร้างฐานในประเทศไทย แต่อย่างไรก็ตาม ตำรวจท่องเที่ยวอยู่ในระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน รวมถึงการนำของกลางทั้งหมดไปตรวจสอบเพื่อขยายผลเพิ่มเติม เพื่อใช้ในการเอาผิดกลุ่มชาวเกาหลีและคนจีนกลุ่มนี้

...

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การจับกุมชาวเกาหลีของตำรวจท่องเที่ยว ถือเป็นการจับกุมชาวเกาหลีครั้งใหญ่ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นมาจากมีพ่อชาวเกาหลีใต้เป็นห่วงลูกชาย ซึ่งโทรศัพท์ไปบอกพ่อว่า "ถูกหลอกมาทำงานกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศไทย และเหมือนว่าจะบังคับให้พ่อโอนเงินมาให้" แต่พ่อกลัวถูกหลอก จึงรีบประสานสถานทูตเกาหลีเพื่อขอความช่วยเหลือกับทางการไทย จนเป็นที่มาของการบุกเข้าจับกุมในครั้งนี้ และที่สำคัญ ลูกชายที่พ่อชาวเกาหลีขอให้ทางการไทยช่วยเหลือ ก็นั่งทำงานอยู่ในบ้านพลูวิลล่าหลังดังกล่าวด้วย.