ตำรวจสอบสวนกลาง ร่วมตำรวจสหพันธรัฐออสเตรเลีย (AFP) แถลงข่าวเปิดปฏิบัติการ Firestorm ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ จับชาวออสเตรเลีย 5 ราย, อังกฤษ 6 ราย, แคนาดา 1 ราย, แอฟริกาใต้ 1 ราย คาบ้านพักขณะกำลังโทรหลอกลวงชาวออสเตรเลียให้นำเงินลงทุน

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 17 มิ.ย. ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป., พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท., พ.ต.อ.อรุณ วชิรศรีสุกัญญา รองผบก.ปทส., พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รองผบก.ตม.3, พ.ต.อ.สมบัติ มาลัย ผกก.(สอบสวน)ฯ รรท.ผกก.1 บก.ปทส., พ.ต.ท.เอกพล ปัญจมานนท์ รองผกก.1 บก.ปทส. พร้อมด้วยนางคริสตี้-ลี เครส เจ้าหน้าที่อาวุโสตำรวจสหพันธรัฐออสเตรเลีย Australia Federal Police (AFP) และเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ร่วมกันแถลงผลปฏิบัติการ Firestorm ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต่างชาติ จับกุมชาวต่างชาติ 13 ราย ประกอบด้วยชาวออสเตรเลีย 5 ราย, อังกฤษ 6 ราย, แคนาดา 1 ราย, แอฟริกาใต้ 1 ราย พร้อมของกลางอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเอกสาร อาทิ คอมพิวเตอร์, อุปกรณ์เน็ตเวิร์ค, โน้ตบุ๊ก, สคริปต์การพูดชักชวนลงทุน และโทรศัพท์มือถือ รวม 58 รายการ

ทั้งหมดถูกแจ้งข้อหา อั้งยี่, เป็นคนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวประกอบอาชีพหรือรับจ้างทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และเป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน จับกุมได้ที่บ้านพักเลขที่ 49 หมู่ 9 ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ โดยผู้เสียหายทั้งหมดเป็นชาวออสเตรเลีย จำนวนกว่า 14,000 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 40 ล้านบาท

...

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ AFP ได้สืบสวนพบกลุ่มบุคคลในขบวนการกระทำความผิดหลอกลวงประชาชนในประเทศออสเตรเลียได้ย้ายถิ่นฐานเข้ามาในประเทศไทย และจัดตั้ง Boiler room (คอลเซ็นเตอร์) ในประเทศไทยเพื่อหลอกลวงประชาชนชาวออสเตรเลียให้ร่วมลงทุนพันธบัตร อ้างให้ผลตอบแทนสูงมีกำหนดระยะเวลาในการคืนทุนเป็นระยะเวลาประมาณ 1-3 ปี ระหว่างนั้นจะมีผลตอบแทนแบบคงที่ ร้อยละ 7-10 ต่อปี ตำรวจสหพันธรัฐออสเตรเลียจึงได้ขอความร่วมมือมายังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางให้ร่วมกันสืบสวนเรื่องดังกล่าว หลังพบเบาะแสว่าผู้ต้องหาแก๊งนี้ก่อเหตุมาแล้ว 20 ปี ถูกจับกุมครั้งล่าสุดได้ที่ประเทศอินโดนีเซีย ส่วนหัวหน้าแก๊งที่เป็นชาวอังกฤษและออสเตรเลียได้หลบหนีมาที่ประเทศไทย

จากการตรวจสอบและติดตามพฤติกรรมของขบวนการดังกล่าวพบว่าเข้ามาอยู่ที่พัทยาตั้งแต่ต้นปี 2567 ต่อมาได้ย้ายมาอยู่กรุงเทพมหานคร โดยตัวการหลักได้มีการนัดพบกันที่โรงแรมย่านถ.เฉลิมพระเกียรติ ร.9 แขวงดอกไม้ เขตประเวศ กรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้สะกดรอยติดตามดูพฤติกรรมของกลุ่มขบวนการดังกล่าวก่อนพบว่า กลุ่มผู้ต้องหาทั้งหมดได้เดินทางไปที่บ้านพักดังกล่าวใน จ.สมุทรปราการ จึงได้ตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่าบ้านหลังดังกล่าวมีการลงประกาศขายราคา 70 ล้านบาท ให้เช่าเดือนละ 120,000 บาท มีเนื้อที่ขนาดประมาณ 1 ไร่ มีรั้วรอบขอบชิด บริเวณหน้าบ้านเป็นซอยตัน ส่วนบ้านที่ขบวนการนี้เช่าอยู่เป็นหลังสุดท้ายซอย หน้าบ้านมีกล้องวงจรปิด 1 ตัว โรงจอดรถมีผ้าใบกั้น และมีคนเปิด-ปิดผ้าใบขณะรถเข้า-ออกจากบ้านหลังดังกล่าว

จากการเฝ้าสังเกตการณ์บ้านพักหลังดังกล่าวพบว่า มีรถเข้าออกตั้งแต่เวลาประมาณ 05.00 น. และจะออกในเวลาประมาณ 15.30 น. ตรงกับเวลาทำงานเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย คือ 09.00 เลิก 18.00 พบรถยนต์เข้า-ออกบ้านหลังมีหลายคัน ลักษณะปกปิดพฤติกรรมของผู้พักอาศัย และผู้เข้า-ออกบ้านหลังดังกล่าว

เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้ขอหมายค้นจากศาลอาญา เข้าตรวจค้น พบชาวต่างชาตินั่งอยู่ภายในห้องโถงชั้น 1 ของบ้าน ถูกตกแต่งด้วยแผงกั้นระหว่างบุคคลคล้ายสำนักงาน พบกลุ่มผู้ต้องหากำลังโทรศัพท์อยู่ทุกโต๊ะ มีเครื่องคอมพิวเตอร์, โน้ตบุ๊ก, โทรศัพท์มือถือ, เอกสารข้อความต่างๆ, สคริปต์การพูดคุย, เอกสารที่ปรากฏข้อความเกี่ยวกับข้อมูลบริษัทฯ ลงทุนพันธบัตรที่ขบวนการดังกล่าวชักชวนลงทุน โดยอ้างว่ามีบริษัทฯ อยู่จริงในต่างประเทศ ส่วนภายในคอมพิวเตอร์พบข้อมูลรายชื่อบุคคลชาวออสเตรเลียอีกกว่า 14,000 ราย ในส่วนนี้สำนักงานตำรวจสหพันธรัฐออสเตรเลียตรวจสอบแล้วยืนยันว่ารายชื่อบางส่วนเป็นชาวออสเตรเลียที่ถูกขบวนการดังกล่าวหลอกลวงจริง เบื้องต้นพบความเสียหายมากกว่า 2 ล้านเหรียญออสเตรเลีย หรือกว่า 40 ล้านบาท

จากการตรวจสอบข้อมูลการเดินทางของผู้ต้องหาทั้งหมดจากระบบสารสนเทศ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พบว่า ผู้ต้องหาทั้งหมดไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเพื่อทำงาน และจากการสอบถามใบอนุญาตการทำงานของผู้ต้องหาฯ ทั้งหมดรับว่า ไม่ได้รับอนุญาตฯในการทำงานหรือมีใบอนุญาตทำงานแต่อย่างใด และไม่สามารถนำมาแสดงให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้

...

เบื้องต้น กลุ่มผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ และให้การว่ามีเพื่อนชักชวนและพบเห็นประกาศหางานผ่านทางเว็บไซต์ เพื่อเข้ามาทำงานที่บริษัทแห่งนี้ มีค่าตอบแทนประมาณ 3,000 เหรียญออสเตรเลีย และมีค่าคอมมิชชั่นร้อยละ 2.5 จากการทำงาน มีหน้าที่โทรชักชวนลูกค้าให้มาร่วมลงทุนกับบริษัทฯ โดยมีนายมาร์ค เดนนิส (Mr. Mark Dennis) อายุ 54 ปี ชาวออสเตรเลีย นายมาร์ค แอนดรูว์ ฮาวชิป (Mr. Mark Andrew Howship) อายุ 56 ปี ชาวอังกฤษ 2 ใน 13 ผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว เป็นหัวหน้าขบวนการ

ด้าน พ.ต.อ.เพลิน กล่าวว่า จากการตรวจสอบผู้ต้องหาทั้ง 13 ราย พบว่าผ่านเข้ามาด้วยวีซ่าแตกต่างกัน แต่ยังไม่ได้อยู่เกินกำหนดหรือโอเวอร์สเตย์ หลังจากนี้จะเพิกถอนวีซ่าและขึ้นแบล็คลิสต์เพื่อไม่ให้สามารถกลับเข้ามาในราชอาณาจักรได้อีก

ด้านนางคริสตี้ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีผู้เสียหายชาวออสเตรเลียจำนวนมาก เฉพาะช่วง 4 ปีที่ผ่านมาพบมีผู้ถูกหลอกลวงสูญเงินเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 4.45 พันล้านเหรียญออสเตรเลีย ทั้งนี้ยังพบว่ามีการฟอกเงินผ่านช่องทางคริปโทเคอร์เรนซีอีกด้วย