ตำรวจสอบสวนกลาง ปราบกลโกงภารกิจปลอม เผยมุกใหม่แก๊งคอลฯ ประกาศรับซื้อภาพถ่ายทางโซเชียล หลอกทำภารกิจ ก่อนลวงโอนเงิน

วันที่ 22 พ.ค. 68 เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) นำโดย พ.ต.ท.พรเสกข์ เชาวสันต์, พ.ต.ต.ดุสิต ยอดหวิด, พ.ต.ต.กษิดิศ ดิลกคุณานันท์ สว.กก.1 บก.ปอท., ร.ต.อ.ณัฐวัฒน์ ตาแว่น, ร.ต.อ.ปฏิญญา สงวนศักดิ์เกสร, ร.ต.อ.ทัศพงษ์ ผ่องใส, ร.ต.อ.นันทนคร บุรี รอง สว.กก.1 บก.ปอท. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปอท. ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา เครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์

สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 5 ราย ได้แก่ นายเทียน อายุ 29 ปี สัญชาติจีน ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 2828/2568 ลงวันที่ 16 พ.ค. 2568, นายลี อายุ 44 ปี สัญชาติจีน ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 2841/2568 ลงวันที่ 16 พ.ค. 2568, นายสิทธิบูรณ์ อายุ 34 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 2840/2568 ลงวันที่ 16 พ.ค. 2568, นายกิตติชัย และ น.ส.สุภาพร แจ้งข้อกล่าวหา ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, สมคบกันโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน, ร่วมกันฟอกเงิน”

สืบเนื่องจากปัจจุบันกลุ่ม call center มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการหลอกลวงที่หลากหลาย และตามนโยบายรัฐบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่ได้มีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ดำเนินการกวาดล้างขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เป็นภัยอาชญากรรมที่ก่อความเสียหายต่อประชาชนและสังคมในวงกว้าง และเน้นย้ำให้มีการเตือนภัยรูปแบบการหลอกลวงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้กับประชาชนทราบผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย และสื่อต่างๆ

...

กก.1 บก.ปอท. จึงได้ตรวจสอบจากระบบรับแจ้งความออนไลน์ และข้อมูลจาก Big Data พบหนึ่งในรูปแบบการหลอกลวงที่สลับซับซ้อนและมีประชาชนจำนวนมากตกเป็นเหยื่อได้รับความเสียหาย กล่าวคือ กลุ่มคนร้ายจะมีการโฆษณาในสื่อโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เพื่อรับซื้อภาพถ่าย โดยจะให้ผู้เสียหายแอดไลน์พูดคุยผ่านบัญชีไลน์ที่อ้างว่าเป็นพนักงานของบริษัทแห่งหนึ่งที่ประกอบธุรกิจบริการจัดการโฆษณาออนไลน์ ซึ่งมีการทำธุรกิจเกี่ยวกับการหาสมาชิกในการประชาสัมพันธ์หรือโปรโมทภาพถ่ายของสมาชิก เพื่อรับผลตอบแทนหรือโบนัสในการส่งภาพถ่ายมาร่วมโปรโมทและร่วมลงทุนในการโปรโมทภาพถ่าย เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อเข้าร่วมทำกิจกรรมและทำภารกิจในครั้งแรกๆ จะได้รับผลตอบแทนจริง

หลังจากนั้นคนร้ายจะพยายามชักชวนให้ผู้เสียหายเข้ากลุ่มไลน์ เพื่อทำภารกิจส่งเสริมการตลาด โดยอ้างว่า ทำงานง่าย ได้ค่าตอบแทนสูง สามารถเลือกแผนในการลงทุนได้ โดยจะได้รับผลตอบแทน ประมาณร้อยละ 30-50 ของยอดเงินที่ร่วมลงทุนในแต่ละครั้ง โดยในกลุ่มไลน์ดังกล่าวจะมีการแอบอ้างชื่อของบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการธุรกิจมาเป็นโค้ชในการลงทุน และจะมีสมาชิกในกลุ่มไลน์ซึ่งเป็นหน้าม้าเข้ามาร่วมด้วย จากนั้นจะให้ผู้เสียหายทำการลงทุนผ่านเว็บไซต์ STI CURRENCY MARKET (https://sticurrencymarket.com)

เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินไปร่วมลงทุนครบตามจำนวนภารกิจ และต้องการถอนเงินออกจากระบบ คนร้ายจะอ้างว่าผู้เสียหายทำผิดกฎ ไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ จะต้องโอนเงินเพิ่มเติมเพื่อเป็นการปลดล็อกและแก้ไขในส่วนที่ผิดกฎ

จากการตรวจสอบข้อมูลจากระบบแจ้งความออนไลน์และฐานข้อมูลพบว่า มีผู้เสียหายที่ถูกหลอกให้ลงทุนผ่านเว็บไซต์ STI CURRENCY MARKET จำนวน 7 เคส มูลค่าความเสียหายกว่า 2.4 ล้านบาท อีกทั้ง ยังพบว่ากลุ่มบัญชีม้าที่ใช้ในกลุ่มนี้ ถูกแจ้งความไว้เป็นจำนวน 67 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 15 ล้านบาท เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปอท. จึงได้เร่งรัดดำเนินการสืบสวนจากพฤติการณ์และแผนประทุษกรรมของกลุ่มคนร้ายนี้ จนสามารถพิสูจน์ทราบตัวบุคคลของกลุ่มคนร้าย Call Center ดังกล่าว

เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปอท. จึงได้มีการรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องขออนุมัติศาลออกหมายจับ ผู้ร่วมขบวนการ โดยเข้าตรวจค้น และจับกุมผู้ร่วมขบวนการในกลุ่มรับผลประโยชน์และฟอกเงินได้ทั้งสิ้นจำนวน 5 ราย ประกอบด้วยชาวจีน 2 ราย และชาวไทย 3 ราย สามารถตรวจยึดทรัพย์สินเป็นเงินสด จำนวน 3,000,000 บาท จากนั้นนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ปอท. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายและจะได้ดำเนินการสืบสวนขยายผลเพื่อตรวจยึดทรัพย์สิน และจับกุมผู้ที่ร่วมขบวนการต่อไป

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ขอเตือนภัยไปยังประชาชน ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนให้ถี่ถ้วน ก่อนการลงทุนทุกครั้ง อย่ารีบตัดสินใจลงทุนหรือหลงเชื่อบุคคลอื่นที่ชักชวนโดยง่าย เพราะปัจจุบันกลุ่มมิจฉาชีพจะใช้กลอุบายหลายรูปแบบ ขอให้มีสติทุกครั้ง อย่าหลงเชื่อโฆษณาที่เชิญชวนทำรายได้ง่าย ๆ และผลตอบแทนเกินจริง ควรมีการตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ให้ครบถ้วน เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

ทั้งนี้ในส่วนของผู้รับจ้างเปิดบัญชี หรือยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชี มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากบัญชีถูกนำไปใช้ในทางทุจริต อาจจะเข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงิน ซึ่งความผิดฐานฟอกเงินนั้น มีอัตราโทษจำคุก ตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับ 10,000 - 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

...