เจ้าของบ้านเล่านาที "นพ" ขับรถเก๋งต้องสงสัยคดีอุ้ม "ดีเจเตเต้" มาฝากไว้ที่บ้าน อ้างรถเสีย ก่อนให้พาไปส่งที่หน้านิคมอุตสาหกรรมราชบุรี จากนั้นมีรถกระบะมารับไป ยันแค่รู้จัก แต่ไม่เกี่ยวข้อง
จากกรณีญาติเร่งตามหาตัว "ดีเจเตเต้" หรือ นายวราพงษ์ ขุนศรีจตุรงค์ อายุ 33 ปี หลังพบร่องรอยการโดนอุ้มตัวไป หลังไปร่วมงานเลี้ยงที่ผับแห่งหนึ่ง เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 68 ก่อนที่ดีเจเตเต้จะขาดการติดต่อกับทางครอบครัว กระทั่งมาพบเป็นศพเสียชีวิตในป่าละเมาะ สภาพศพใส่เสื้อยืดสีดำ กางเกงสีดำ ถูกมัดมือไขว้หลังด้วยเชือกไนล่อนสีเขียว อยู่ในป่าใกล้กับหมู่บ้านทุ่งนานางหรอก ต.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ซึ่งจุดที่พบศพนั้น ห่างจากจุดที่ดีเจเตเต้ถูกอุ้มตัวไปประมาณ 20 กิโลเมตร และคาดว่าสาเหตุมาจากปมเรื่องชู้สาวนั้น
ซึ่งทางตำรวจได้สืบสวนจนทราบว่า ผู้ต้องสงสัยในคดีนี้คือ นายวิกูล หรือ กูล และ นายธนเดช หรือ กิ่ง คนขับกระบะสีขาว ที่ขับมาประกบ "ดีเจเตเต้" ก่อนบังคับอุ้มขึ้นรถ ระหว่างทางไปที่บ้านของสาวคนสนิท ช่วงตอน 03.54 น. ของวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา
โดยนายวิกูล และ นายธนเดช ปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทางเจ้าหน้าที่ยังสืบทราบว่า ยังมีรถเก๋งอีกคันสีดำ มี นายนพพิจิตร หรือ นายเหลือบ เป็นคนขับ ตำรวจยังสืบทราบว่า นายธนเดช และ นายวิกูล (คนขับกระบะ) ในพื้นที่ ต.วังด้ง อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ขับมาจอดรออยู่ในพื้นที่ร่วม 2 อาทิตย์ จากนั้น 08.01 จับภาพรถเก๋งสีดำออกจากบ้านไป

...
กระทั่งไปพบรถเก๋งสีดำคันนี้ ถูกนำไปจอดไว้ในพื้นที่ อ.โพธาราม จ.ราชบุรี โดยมี นายนพพิจิตร เป็นคนขับรถเอาไปฝาก นายพุฒิพงษ์ ซึ่งเป็นเพื่อนใน อ.โพธาราม วันที่ 16 พ.ค. 68 โดยอ้างว่ารถเสีย ก่อนจะให้เพื่อนไปส่งที่นิคมอุตสาหกรรมโพธาราม โดยมีรถกระบะเชฟโรเลตมาขับหลบหนีไป จนทางตำรวจได้ไปยึดมาตรวจสอบพบว่า รถถูกล้างจนสะอาด และเมื่อนำไปตรวจสอบกล้องหน้ารถ ได้มีการขับเข้าไปในป่ารกทึบแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นหลักฐานที่ทำให้ไปพบร่างของ "ดีเจเตเต้" ถูกหมกป่าใกล้กับหมู่บ้านทุ่งนานางหรอก ต.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี
ล่าสุด (18 พ.ค. 68) ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านพักของ นายพุฒิพงษ์ ในพื้นที่หมู่ที่ 4 ต.เจ็ดเสมียน อ.โพธาราม จ.ราชบุรี ที่ นายนพพิจิตร หนึ่งในผู้ต้องสงสัยนำรถไปฝากไว้
นายพุฒิพงษ์ เปิดใจว่า นายนพพิจิตร หรือ นพ เดือนฉาย ได้นำรถยนต์เก๋งยี่ห้อ SUZUKI รุ่น SWIFT GLX สีดำ ทะเบียน นครปฐม มาจอดไว้ข้างบ้านหลังดังกล่าวจริง เมื่อเวลา 03.00 น. ของวันที่ 15 พ.ค. 68 โดยนายนพ ได้โทรมาหาตน บอกว่าให้มาเอาเงินจะเอาเงินมาใช้หนี้ ตอนนี้ขับรถมาที่บ้านแล้ว แต่ตอนนั้นตนทำงานอยู่ ไม่สามารถกลับมาที่บ้านได้ นายนพจึงจอดและนอนรอตนอยู่ในรถ จนเวลา 05.00 น. ตนกลับมาถึงบ้านพบว่า นายนพ นอนอยู่ในรถ ตนเลยเอาไฟส่องและเคาะเรียก แต่ไม่ตื่นเลยปล่อยให้เขาในรถไปก่อน ส่วนตนและภรรยากลับเข้าบ้านไปนอนพัก
จนช่วงประมาณ 7 โมงเช้า นายนพโทรมาหา ตนเลยบอกให้เดินเข้ามาในบ้านได้เลย ตนกลับมาแล้ว เขาจึงเดินเข้ามาบอกขอนอนพัก เดี๋ยวจะกลับบ้าน โดยช่วงที่มาหาที่บ้าน นายนพ ไม่แสดงอาการน่าสงสัยอะไร นอกจากโทรศัพท์ตลอดเวลา จนเขาพักและตื่นมากินข้าวเสร็จ เขาบอกให้ตนขี่รถจยย.ไปส่งหน่อย และพูดทำนองว่า รถไม่ค่อยดีเดี๋ยวจะมีอู่มาลากรถไปทำ และขับรถยนต์ขึ้นมาจอดข้างบ้าน พร้อมทั้งเอาผ้ามาคลุมรถไว้ ซึ่งตอนนั้นตนก็ยังเอะใจสงสัย ว่าทำไมต้องคลุมผ้าด้วย แต่พอถามเขาก็ไม่ตอบ มีแต่คุยโทรศัพท์ตลอดเวลา จนตนขี่รถจยย.พ่วงเขามาส่งที่หน้านิคมอุตสาหกรรมราชบุรี และมีรถยนต์กระบะเชฟมารับเขาไป โดยเขาไม่หันหลังกลับมาพูดร่ำลากับตนเลยสักคำ
แต่หลังเขาไปแล้ว ตนได้กลับมาที่บ้านและมีโทรศัพท์เบอร์แปลก โทรเข้ามาหาตนและบอกว่าเป็นอู่ซ่อมรถ จะเข้ามาลากรถตอนเย็นๆ ซึ่งตนได้ยินเหมือนเสียง นายนพ อยู่ในสายด้วย แต่ก็ไม่ได้เอะใจหรือสงสัยอะไร เพราะคิดว่าเดี๋ยวคงมาลากรถไปกันเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับตนอยู่แล้ว
จนกระทั่งช่วงบ่ายมีตำรวจมาที่บ้านและเชิญตัวตนไปสอบปากคำ ก่อนจะยึดรถเก๋งดังกล่าวไปตรวจสอบที่ สภ.โพธาราม ซึ่งขณะนั้นตนยังไม่ทราบเรื่องราวทั้งหมด ว่านายนพ มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี ดีเจเตเต้ จนหลังสอบปากคำเสร็จทางตำรวจจึงแจ้งเรื่องราวทั้งหมดให้ทราบ ตนถึงกับตกใจกับเรื่องราวทั้งหมด
นายพุฒิพงษ์ ยังบอกต่ออีกว่า ตนกับ นายนพ เคยเป็นเพื่อนกันตอนที่ทำงานด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้เจอกันนานแล้ว เพราะ นายนพ ย้ายไปทำงานที่อื่น ซึ่งเขาเคยมาที่บ้านสังสรรค์กับตนหลังเลิกงาน แต่พอย้ายที่ทำงานไป ก็ไม่ได้ติดต่อกันเท่าไรนัก มีบางครั้งที่จะแวะเข้ามาขอนอนพักสายตาเวลาจะเดินทางกลับบ้านที่ จ.ประจวบ เป็นครั้งคราวเท่านั้น
หลังตนมารู้ว่ารถคันดังกล่าวเป็นรถของผู้ต้องสงสัย เกี่ยวกับคดี ดีเจเตเต้ ตนยิ่งตกใจ และทำให้ครอบครัวกลัวว่าตนจะได้รับความเดือดร้อนไปด้วย ส่วนตอนนี้ในกระแสโซเชียล หาว่าตนมีส่วนเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นด้วย ตนขอยืนยันในความบริสุทธิ์ ว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งตนก็ขับรถยนต์ไม่เป็น และตนได้ให้ปากคำกับทางตำรวจไปหมดแล้ว และพร้อมจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมหากตำรวจต้องการ
สุดท้าย นายพุฒิพงษ์ ยังให้ข้อมูลอีกว่า พฤติกรรม นายนพ ช่วงเวลาที่นำรถยนต์มาจอดไว้จะคุยโทรศัพท์ตลอดเวลา เวลาที่ตนถามอะไรไปมักจะไม่ค่อยได้คำตอบที่ชัดเจน.
...