ตร.ไซเบอร์ รวบแก๊งไทยเทาลวงข้ามชาติ ร่วมกับชาวต่างชาติ สวมรอยหลอกบริษัทดังในญี่ปุ่นให้โอนกว่า 228 ล้านบาท พบยังมีอีก 10 บริษัท ที่ถูกสวมรอย
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 9 พ.ค. 68 ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เมืองทองธานี อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าชุด ศปอส.ตร พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผบก.สอท.1 พ.ต.อ.รุ่งเลิศ คันธจันทร์ ผกก.1 บก.สอท.1 ร่วมแถลงปฏิบัติการรวบแก๊งไทยเทา - แอฟริกันตะวันตกลวงข้ามชาติ หลอกบริษัทดังในญี่ปุ่นโอนเข้าไทยกว่า 228 ล้านบาท
พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวว่า สำหรับในคดีนี้ 25 เม.ย.ที่ผ่านมา ตำรวจไซเบอร์ได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญงานติดตามและสืบค้นการทุจริตอาวุโส สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ของธนาคารของไทย ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบและป้องกันทุจริต โดยฝ่ายระบบ SWIFT (ระบบการโอนเงินระหว่างประเทศ) ได้รับแจ้งจากธนาคารชื่อดังของประเทศญี่ปุ่นว่า ได้พบบัญชี Fraud (การฉ้อโกงทางการเงิน, การฉ้อโกงทางอินเทอร์เน็ต (Cyber Fraud)) ผ่านหน่วยเงินโอนต่างประเทศ
ทางตำรวจไซเบอร์จึงทำการตรวจสอบพบว่า เมื่อช่วงบ่ายของวันเดียวกัน บริษัทชื่อดังของประเทศญี่ปุ่น ได้มีคำสั่งโอนเงินไปที่บริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบริษัทคู่ค้า ของประเทศเกาหลีใต้ เพื่อทำการค้าระหว่างกัน แต่บริษัทดังกล่าวได้ถูกหลอกลวงให้โอนเงินเข้ามาที่บัญชีธนาคารของไทย เป็นเงินจำนวน 228,543,909.28 บาท
จึงทำการตรวจสอบโดยละเอียด พบว่าหลังการโอนเงิน มีนายวีรกานต์ คำทองยศ อายุ 36 ปี ได้ถอนเงินออกจากบัญชีธนาคารในประเทศไทย จำนวน 2 ครั้ง รวมเป็นเงิน 13 ล้านบาท ภายหลังธนาคารได้รับแจ้งว่าเป็นบัญชีที่ได้รับโอนเงินจากการกระทำการผิดกฎหมาย จึงได้ทำการอายัดบัญชี ก่อนประสานมายังตำรวจไซเบอร์
...
พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวต่อว่า ต่อมา พ.ต.อ.รุ่งเลิศ คันธจันทร์ ผกก.1 บก.สอท.1 พร้อมชุดสืบสวน ทำการสืบสวนจนพบข้อมูลว่าบริษัทคู่ค้ามีที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ ถ.เคหะร่มเกล้า แขวงคลองสองต้นนุ่น เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ ได้จดทะเบียนนิติบุคคลประเภทบริษัท ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท เพื่อประกอบธุรกิจขายส่งยานยนต์เก่า โดยมีคณะกรรมการ 3 ราย ประกอบด้วย นายวีรกานต์ คำทองยศ อายุ 36 ปี ชาวกรุงเทพฯ น.ส.วิลัยพร รักชาติ อายุ 24 ปี ชาวกรุงเทพฯ และนายอนุชา รักชาติ อายุ 35 ปี ชาว จ.หนองบัวลำภู
โดยมิจฉาชีพได้ให้ผู้ต้องหากลุ่มนี้จัดตั้งนิติบุคคล เพื่อเจตนาตั้งชื่อเลียนแบบบริษัทของประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นคู่ค้าในประเทศญี่ปุ่น เพื่อสร้างความสับสน เมื่อคู่ค้าตกลงทำธุรกรรมกัน ซึ่งทางมิจฉาชีพได้ส่งอีเมล์ปลอมที่มีข้อมูลคล้ายกับของจริง และได้มีการเปลี่ยนเลขบัญชีธนาคารปลายทางให้คล้ายกับชื่อบริษัทของจริง จากนั้นได้แจ้งเจ้าหน้าที่ของบริษัทญี่ปุ่นว่า บริษัทของตนเปลี่ยนบัญชีรับโอนเงิน เมื่อเจ้าหน้าที่บริษัทญี่ปุ่นหลงเชื่อ จึงได้โอนเงินให้กว่า 228 ล้านบาท จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับกรรมการบริษัททั้ง 3 ราย โดยตำรวจชุดสืบสวนได้ติดตามจับกุมตัวนายวีรกานต์ ได้ในพื้นที่หลักสี่ กรุงเทพฯ ส่วน น.ส.วิลัยพร และนายอนุชา ติดตามจับกุมได้ในพื้นที่ อ.สามพราน จ.นครปฐม
ขณะที่ตำรวจชุดสืบสวน กก.1 บก.สอท.1 ได้สืบสวนขยายผลเพิ่มเติม พบหลักฐานยังมีผู้เกี่ยวข้องในขบวนการนี้ คือ Mr.Annest Onyebuchi อายุ 41 ปี ชาวไนจีเรีย มีภรรยาชาวไทย คือ น.ส.พิญญานันท์ ทิพย์คำทองยศ อายุ 47 ปี ชาวกรุงเทพฯ พักอาศัยอยู่ย่านลาดกระบัง กรุงเทพฯ โดยชาวไนจีเรียรายนี้เป็นผู้ใช้ให้นายวีรกานต์ ไปเปิดบริษัทต่างๆ และเปิดบัญชีธนาคารเป็นชื่อบริษัทดังกล่าวก่อนหน้านี้ จนนำไปสู่การจับกุมตัว น.ส.พิญญานันท์ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเบิกเงิน ร่วมกับ นายวีรกานต์ ที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้
เบื้องต้น น.ส.พิญญานันท์ ยอมเปิดเผยข้อมูลว่า ก่อนมีการโอนเงินจำนวนกว่า 228 ล้านบาทเข้ามา Mr.Annest Onyebuchi สามีของตนเอง ได้เป็นผู้ส่งข้อมูลภาพใบแจ้งหนี้ของบริษัทที่โอนเงินมาให้ตนเอง ผ่านแอปพลิเคชัน WhatsApp ก่อนทำการส่งภาพดังกล่าวให้ นายวีรกานต์ฯ นำไปประกอบเพื่อยืนยันกับธนาคารในการถอนเงิน
นอกจากนี้ยังพบหลักฐานว่า นายวีรกานต์ ได้เตรียมนำฝากเงิน จำนวน 100 ล้านบาท ไปยังบัญชีธนาคารของบริษัท มิลเลียน มิกซ์ จำกัด ซึ่งประกอบกิจการค้าวัสดุก่อสร้างและเครื่องมือที่ใช้ในการก่อสร้าง โดยมีนายภูริพัฒน์ บริรักษ์คูเจริญ อายุ 58 ปี ชาวกรุงเทพฯ และนายสุเมศย์ รักน้อย อายุ 51 ปี ชาว จ.กาญจนบุรี เป็นกรรมการบริษัท จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับ ผู้เกี่ยวข้องเพิ่มอีก 3 ราย ประกอบ Mr.Annest Onyebuchi ชาวไนจีเรีย นายภูริพัฒน์ และนายสุเมศย์
พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวอีกว่า โดยตำรวจชุดสืบสวน กก.1 บก.สอท.1 ได้นำกำลังเข้าตรวจค้น บริษัท มิลเลียน มิกซ์ จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ชั้น 13 ของอาคารแห่งหนึ่ง ย่านถนนพระราม 4 แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพฯ สามารถจับกุม นายภูริพัฒน์ และตรวจยึดโทรศัพท์มือถือ สมุดบัญชีเงินฝาก และเอกสารสำคัญต่างๆ
...
จากการสอบสวนนายภูริพัฒน์ ให้การว่าได้รู้จักสนิทสนมกับชายผิวสีรายหนึ่ง ชื่อ Mr.Ibrahim อายุ 51 ปี สัญชาติกาน่า โดยติดต่อคุยกันผ่านแอปพลิเคชัน WhatsApp ต่อมา Mr.Ibrahim ได้แชทมาหาตนว่า ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ประเทศไทยจึงให้ช่วยรับเงินที่โอนตรงจากบริษัทในประเทศญี่ปุ่น เมื่อรับโอนเงินเรียบร้อยแล้ว Mr.Ibrahim จะจ่ายค่าตอบแทนให้ตนเป็นส่วนแบ่งจำนวน 5 เปอร์เซ็นต์ จากยอดเงินที่รับโอน ตนเองจึงแจ้งว่าต้องให้ทางบริษัทญี่ปุ่นติดต่อโดยตรงเท่านั้น ก่อนที่ Mr.Ibrahim ได้ขอยกเลิกไปโดยไม่มีเหตุผล
ภายหลังการโอนเงินดังกล่าวเกิดขึ้น และมีการจับกุมผู้ต้องหาชุดแรกไปแล้ว Mr.Ibrahim ได้แชทมาบอกตนเองว่าห้ามพูดชื่อถึง Mr.Ibrahim และให้ลบแชทการสนทนาระหว่างตนเองกับ Mr.Ibrahim ใน WhatsApp ออกให้หมดแต่ตนเองยังไม่ทันได้ลบ กลับถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุม
ล่าสุด เมื่อช่วงสายของวันที่ 8 พ.ค.68 ตำรวจชุดสืบสวนสามารถติดตามจับกุม Mr.Ibrahim ซึ่งเป็นตัวการสำคัญในขบวนการนี้ ได้บริเวณที่ทำการตรวจคนเข้าเมือง จังหวัดนนทบุรี ซึ่งอยู่ระหว่างสอบปากคำ เพื่อเตรียมสืบสวนขยายผลหาผู้เกี่ยวข้องรายอื่นในขบวนการนี้
ด้านพล.ต.ต.ศิริวัฒน์ กล่าวว่าสำหรับในคดีนี้ทราบตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องในขบวนการแล้ว 8 ราย สามารถติดตามจับกุมได้แล้ว 6 ราย ส่วนที่เหลืออีกสองรายคือ Mr.Annest Onyebuchi ชาวไนจีเรีย และนายสุเมศย์ อยู่ระหว่างติดตามตัว ซึ่งจากการตรวจสอบยังพบว่ายังมีอีกกว่า 10 บริษัท ที่ถูกกลุ่มขบวนการสวมรอยในลักษณะเดียวกัน ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าเป็นกลุ่มขบวนการเดียวกันนี้หรือไม่
เบื้องต้นตำรวจได้ดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ต้องหาในความผิดฐาน "ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้สมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน ร่วมกันเปิด หรือยินยอมให้บุคคลอื่น ใช้บัญชีเงินฝากบัตรอิเล็กทรอนิกส์หรือบัญชีอิเล็กทรอนิกส์ของตนโดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง หรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้ หรือยืมใช้เลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตน โดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือความผิดอาญาอื่นใด, ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและได้ลงมือกระทำความผิดร้ายแรงตามวัตถุประสงค์ขององค์กรอาชญากรรมนั้น ร่วมกันเป็นอั้งยี่ และซ่องโจรและได้กระทำความผิดตามความมุ่งหมายของอั้งยี่หรือซ่องโจร".
...