เจ้าหน้าที่กู้ซากตึก สตง. เปิดโซนบริเวณใต้ดินเข้าถึงปล่องลิฟต์ได้แล้ว เจอร่างผู้เสียชีวิตเพิ่ม คาดปิดภารกิจค้นหา-รื้อถอน ภายในเดือนพฤษภาคม ขณะที่ดีเอสไอ เชิญ 10 วิศวกรให้ปากคำ
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 2 พ.ค. 68 ที่อาคาร สตง. ถล่ม เขตจตุจักร นายสุริยชัย รวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร (สปภ.) แถลงข่าวความคืบหน้าเหตุการณ์อาคาร สตง. ถล่ม เขตจตุจักร ว่า เจ้าหน้าที่พบร่างผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 13 ราย และชิ้นส่วนร่างกายบางส่วน พร้อมกับพบร่างอีก 2 ราย ที่อยู่ระหว่างรอการยืนยันอัตลักษณ์บุคคลจากนิติเวช
ส่วนการทำงานการเร่งค้นหาผู้สูญหายอย่างต่อเนื่อง ค้นหาอยู่ในโซน D2 ซึ่งเชื่อมต่อกับโซน C และเป็นทางเชื่อมไปยังอาคารด้านหลังและลานจอดรถ โดยยังไม่สามารถเข้าถึงชั้นใต้ดินได้ทั้งหมด คาดว่าบริเวณทางเดินชั้น 3 ซึ่งมีความสูงประมาณ 4 เมตร อาจมีความลึกลงไปอีก 2-3 เมตร และเชื่อว่าอาจพบผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมในบริเวณนี้
ล่าสุด สามารถเปิดโซนบริเวณใต้ดินและเข้าถึงบริเวณปล่องลิฟต์ได้แล้ว และเร่งค้นหาผู้สูญหาย โดยเฉพาะช่วงทางเชื่อมระหว่างอาคาร ชั้น 3 กับอาคารที่ถล่มลง บริเวณโซน C และอาคาร B ซึ่งเป็นทิศทางหลบหนีของผู้ประสบเหตุ โดยเชื่อว่าบางรายอาจติดค้างอยู่บริเวณบันได ในขณะที่บางส่วนอาจหนีออกมาทันและกระจายตัวอยู่บริเวณโถงด้านหน้าและขอบอาคาร และข้อมูลจากผู้รับเหมาที่ยืนยันว่ามีเจ้าหน้าที่ทำงานอยู่ในบริเวณโซน D ก่อนเกิดเหตุสอดคล้องกับการพบร่างผู้เสียชีวิตเมื่อวานนี้ในจุดที่สูงจากชั้นใต้ดินไม่เกิน 1 เมตร
...
ขณะที่วันนี้ เจ้าหน้าที่ พฐ. และ ตร.บางซื่อ เข้าเก็บเสาปูนอาคาร และผนังช่องลิฟต์ เหล็ก บริเวณช่องตัวอาคารลิฟต์ ที่คาดว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ตึกถล่ม ซึ่งเจ้าหน้าที่ดีเอสไอและพนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ ต้องการเก็บหลักฐานบริเวณปล่องลิฟต์ ซึ่งถือว่ามีรายละเอียดสำคัญมากกว่าตรงจุดอื่น ทางเจ้าหน้าที่จะมีการกั้นพื้นที่ดังกล่าวไว้ เพื่อให้เข้าตรวจสอบ จะยังไม่รื้อถอน
ส่วนข้อมูลจากกองอำนวยการร่วมระบุว่า ขณะนี้มีผู้ประสบเหตุรวม 103 ราย แบ่งเป็นผู้เสียชีวิต 74 ราย บาดเจ็บ 9 ราย และสูญหาย 20 ราย ซึ่งยังอยู่ระหว่างการติดตามและยืนยันตัวตน แม้จะสามารถระบุตัวผู้ประสบเหตุได้ครบ 103 รายแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดพื้นที่เข้าค้นหาได้ครบทุกโซน จึงต้องดำเนินการต่อเนื่องเพื่อความรอบคอบ และตรวจสอบว่ามีผู้สูญหายเพิ่มเติมจากยอดที่แจ้งไว้หรือไม่ โดยต้องรอการยืนยันจากพนักงานสอบสวนอีกครั้ง
ส่วนการค้นหาและรื้อถอนซากอาคารได้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคมนี้ หากยืนยันว่าไม่มีผู้ประสบภัยตกค้างในพื้นที่ ก็จะเสนอรายงานต่อผู้อำนวยการเขตจตุจักร เพื่อพิจารณายกเลิกการประกาศเขตบรรเทาสาธารณภัย และคืนพื้นที่ให้กับเจ้าของอาคาร
ดีเอสไอ นัด 10 วิศวกรให้ปากคำเพิ่ม
ส่วนที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค ในฐานะโฆษกดีเอสไอ กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีตรวจสอบเอกสารที่ยึดมาจากไซต์งานก่อสร้างตึก สตง. จำนวน 121 ลัง ว่า เมื่อวันที่ 1 พ.ค. ดีเอสไอร่วมกรมโยธาธิการและผังเมือง มาช่วยตรวจเอกสารครบทุกลังแล้ว มีการคัดกรองว่าเอกสารใดบ้างที่จะนำมาใช้พิจารณาเข้าสำนวนคดี ซึ่งเกือบจะ 100 เปอร์เซ็นต์ ของเอกสารทั้งหมด โดยเอกสารจะแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนที่ 1 เอกสารกิจการร่วมค้าที่ทำหน้าที่ในการก่อสร้าง การสั่งซื้ออุปกรณ์วัสดุ และการดำเนินการในการก่อสร้าง ส่วนที่ 2 เป็นเรื่องของผู้ควบคุมงาน การเสนอแก้ไขแบบ และส่วนที่ 3 คือ เอกสารของ สตง. ที่เป็นเจ้าของสถานที่ โดยทั้งหมด คือ กระบวนการก่อสร้างอย่างไร ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่การออกแบบ แก้แบบ การซื้อวัสดุและการดำเนินการในการก่อสร้างว่ามีขั้นตอนเป็นมาอย่างไร สำหรับเอกสารบางส่วนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องก็จะส่งคืนให้กับเจ้าของเอกสาร
ส่วนกระบวนการหลังจากนี้ ดีเอสไอจะมาดูรายละเอียดในเอกสารที่ตรวจยึดมาก่อน และจะเรียกเจ้าของเอกสารเข้ามาชี้แจง รวมทั้งมีการพิจารณาจะเชิญพยานบุคคลที่อยู่ในวันที่เกิดเหตุเข้ามาสอบปากคำเพิ่มเติมอีกด้วย เพื่อสนับสนุนหลักฐานที่มีอยู่แล้ว
...
การดำเนินการในตอนนี้ยังไม่ได้เปลี่ยนเป้าหมาย ยังคงมุ่งเน้นไปที่การทำงานร่วมกับ กรมโยธาธิการและผังเมือง, พฐ., สมอ. และพนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ ในการเข้าไปเก็บพยานหลักฐานทุกประเภท เพื่อสนับสนุนข้อมูลกัน โดยปูนคอนกรีตและเหล็กซึ่งถือว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญในโครงการก่อสร้าง เพื่อหาข้อสรุปว่า ที่ตึก สตง. ถล่มเป็นเพราะวัสดุอุปกรณ์ไม่ได้มาตรฐาน หรือมีความผิดพลาดในเรื่องของการออกแบบก่อสร้างหรือไม่ และตอนนี้ทางดีเอสไอก็ได้มีการประสานไปยังกรมโยธาธิการและผังเมืองว่าถ้าหากเจอปล่องลิฟต์อย่าเพิ่งดำเนินการรื้อถอน เพราะจะต้องเข้าไปเก็บพยานหลักฐานตรงจุดนั้น ซึ่งถือว่ามีรายละเอียดเยอะกว่าตรงจุดอื่น
ส่วนการสอบปากคำวิศวกร ก็ถือว่ามีความคืบหน้าไปอย่างมาก วันนี้ได้นัดหมายวิศวกร 10 คนเข้ามาสอบปากคำเป็นวันสุดท้าย ส่วนวิศวกรที่ถูกปลอมแปลงลายเซ็น จะมีกรอบระยะเวลาในการตรวจสอบใช้เวลาไม่เกิน 30 วัน อย่างไรก็ตาม กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค จะเข้าไปขอความเห็นจากกรมโรงงาน เกี่ยวกับประเด็นเรื่องฝุ่นแดง ว่ามีความเชื่อมโยงกับเหล็กที่ใช้ในการก่อสร้างตึก สตง. หรือไม่ ซึ่งอยู่ระหว่างสืบสวนในประเด็นดังกล่าว