รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท อิตาเลียนไทยฯ เป็นตัวแทนเข้าให้ปากคำดีเอสไอ แจงปมกิจการร่วมค้า “บ.ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10” ภายใต้สัญญาผู้ก่อสร้างตึก สตง. ยอมรับรู้อยู่แล้วว่า “บ.ไชน่า เรลเวย์ฯ” เป็นบริษัทสัญชาติจีน ยืนยันพร้อมชี้แจง

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 29 เมษายน 2568 ที่ห้องประชุมกองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ (กองคดีฮั้วประมูล) ศูนย์ราชการฯ อาคารเอ ชั้น 7 ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 32/2568 นำโดย ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ต.ท.อมร หงษ์ศรีทอง ผอ.กองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ นัดหมายสอบสวนปากคำพยาน “บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)” กรณีเป็นกิจการร่วมค้ากับ บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ภายใต้สัญญาผู้ก่อสร้างอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน โดยมี นายเกรียงศักดิ์ กอวัฒนา รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท อิตาเลียนไทยฯ เป็นตัวแทนเข้าให้ปากคำ ในประเด็นที่คณะพนักงานสอบสวนกำหนด เช่น รายละเอียดตามสัญญากิจการร่วมค้า มีการแบ่งสัดส่วนกันอย่างไร โดยเฉพาะสัดส่วน 49 เปอร์เซ็นต์ ของบริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ เนื่องจากบริษัทแห่งนี้ไม่เคยปรากฏเนื้อหาเกี่ยวกับการก่อสร้างมาก่อน และภายในสัญญาก่อสร้างฉบับนี้ ในฐานะกิจการร่วมค้ามีการแบ่งหน้าที่กันอย่างไร รวมถึงต้องสอบถามด้วยว่า นอกจากสัญญาการก่อสร้างตึก สตง. แห่งนี้ ยังมีสัญญาฉบับอื่นอีกหรือไม่ และใครเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการตัวจริง ระหว่างบริษัท อิตาเลียนไทยฯ กับบริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ

ก่อนดำเนินการสอบปากคำ พ.ต.ท.อมร กล่าวว่า การดำเนินงานของคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ คดีตึก สตง.ถล่ม ในวันนี้ได้มีการนัดหมายวิศวกรภายใต้กิจการร่วมค้า PKW ที่มีรายชื่อเป็นผู้ควบคุมงานประจำสัปดาห์ ประมาณ 20-30 สัปดาห์ที่มีชื่อซ้ำ ๆ ของวิศวกรกลุ่มนี้ รวมจำนวน 51 ราย โดยตอนนี้ได้ออกหนังสือเชิญแล้ว 40 ราย ส่วนสาเหตุว่าทำไมจึงออกหมายเรียกพยานเพียง 40 รายนั้น ก็เพราะว่าในการตรวจสอบ เราพบว่ามันมีชื่อที่ซ้ำกันหลายคนในใบ ท.ร.14 และเรายังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นคนไหน เพราะยังไม่มีรายละเอียดเลขบัตรประจำตัวประชาชน จึงอยู่ระหว่างตรวจสอบติดตาม ดังนั้น ในบรรดา 40 หมายเรียกพยานวิศวกรที่เราออกไป เราจะสอบสวนปากคำวันละ 10 ราย นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซึ่งของกรณี 10 รายล็อตแรกวันนี้ เรามีการแบ่งออกเป็น ช่วงเช้าสอบปากคำ 5 ราย และช่วงบ่าย 5 ราย แต่ปรากฏว่ามีวิศวกรคอนเฟิร์มมาเพียง 7 ราย ส่วนอีก 3 รายยังติดต่อไม่ได้ แต่เราก็อยู่ระหว่างติดต่อ เพราะว่าเราส่งหนังสือเชิญไปตามที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน และติดต่อประสานไปยังหมายเลขโทรศัพท์ จึงได้ข้อสรุปว่าวันนี้จะมีการสอบสวนปากคำวิศวกร รอบเช้า 3 ราย และรอบบ่าย 4 รายแทน นอกจากนี้ เรายังได้นัดหมายบริษัท อิตาเลียนไทยฯ มาให้ถ้อยคำในประเด็นที่บริษัทได้ประมูลรับงาน โดยจะสอบรายละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ ขณะที่ในช่วงบ่ายวันนี้ เราจะมีการสอบสวนปากคำ นายธีระ วรรธนะทรัพย์ กรรมการของบริษัท ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด สำหรับประเด็นที่จะใช้สอบสวนวิศวกร จะเป็นการมุ่งประเด็นไปที่การปรากฏชื่อเป็นผู้ควบคุมงาน มีลายเซ็นเป็นผู้ควบคุมงานเป็นประจำสัปดาห์ในหลาย ๆ สัปดาห์ เพื่อสอบถามความเกี่ยวข้องว่าเกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง และได้ดำเนินการอย่างไรไปแล้วบ้าง จึงต้องสอบสวนปากคำก่อน เรายังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเป็นการถูกปลอมและแอบอ้างชื่อทั้งหมดทุกคนหรือไม่ โดยเราจะให้วิศวกรได้ดูตัวอย่างลายเซ็นที่เจอในเอกสารด้วยว่าใช่ลายเซ็นของตนเองจริงหรือไม่ ส่วนกรณีเอกสาร 100 ลังที่ดีเอสไอได้ตรวจยึดจาก 26 ตู้คอนเทนเนอร์ภายในไซต์งาน สตง.มาเมื่อวันที่ 28 เม.ย. ในส่วนนี้ เอกสารจะเกี่ยวข้องกับหลายส่วน ดังนั้น ขั้นตอนถัดไปเราจะต้องมาคัดแยกเอกสารทั้งหมดก่อน ว่าเอกสารใดเป็นเอกสารที่เกี่ยวกับสัญญา เอกสารแบบแปลน เอกสารด้านการเงิน เอกสารเกี่ยวกับวัสดุ เอกสารการสั่งซื้อ เป็นต้น เพราะวานนี้เราได้พบเอกสารการสั่งซื้อปูนบางส่วน จึงต้องเอาเอกสารทั้งหมดมาคัดแยก และคาดว่าภายในสัปดาห์นี้อาจจะได้เชิญเจ้าหน้าที่กรมโยธาธิการและผังเมืองมาร่วมตรวจสอบเอกสารด้วย อะไรที่ไม่ใช่เอกสารที่เกี่ยวข้องก็จะได้คืนบริษัทไป อันไหนเกี่ยวข้องก็จะนำเป็นพยานหลักฐาน

...

พ.ต.ท.อมร กล่าวว่า สำหรับการเชิญตัวแทนของบริษัท อิตาเลียนไทยฯ มาสอบปากคำวันนี้ เราจะสอบถามทั้งหมดทุกประเด็น ไม่ว่าจะเป็นประเด็นการซื้อซอง การประมูลงาน การเป็นกิจการร่วมค้า การแบ่งงาน การดำเนินการก่อสร้างมีการแบ่งงานอย่างไรบ้าง รวมถึงเรื่องค่าตอบแทนมีการแบ่งกันอย่างไรบ้าง นอกจากนี้ ในการเป็นกิจการร่วมค้าระหว่างบริษัท อิตาเลียนไทยฯ และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ ต้องเรียนว่า ในเบื้องต้นตอนที่เขาทำมันเป็นบริษัทของไทย แต่ภายในบริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ มันมีสัดส่วน 51 เปอร์เซ็นต์ ต่อ 49 เปอร์เซ็นต์ แต่เราก็ได้ดำเนินคดีนอมินีไปส่วนหนึ่งแล้ว ดังนั้น การเป็นกิจการร่วมค้าของทั้งคู่ ขณะนั้นบริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ อ้างว่าเป็นบริษัทไทย เพราะมารวมกับบริษัท อิตาเลียนไทยฯ แต่เราก็ต้องไปพิสูจน์ว่าบริษัทเป็นสัญชาติไทยจริงหรือไม่ จึงเกิดการดำเนินคดีนอมินีขึ้นมา สำหรับกรณีที่มีการประมูลได้งาน แต่ก็มีการไปจ้างผู้รับเหมาช่วงต่าง ๆ นั้น ตนขอเรียนว่า ตอนประมูลหรือตอนรับงาน ตอนเซ็นสัญญา มันก็คือช่วงเวลาหนึ่ง แต่พอได้งานมาแล้ว มันมีการรับเหมาช่วงหรือไม่ ก็จะเป็นอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนนี้เราก็ต้องสอบสวนปากคำเช่นเดียวกัน ส่วนกรณีกิจการร่วมค้า PKW ที่มีรายงานว่าไม่มีคุณสมบัติเข้าองค์ประกอบเป็นที่ปรึกษานั้น เรื่องนี้ดีเอสไออยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบเช่นเดียวกัน สำหรับประเด็นมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่บริษัท อิตาเลียนไทยฯ และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการได้งานโครงการของรัฐเพียงโครงการเดียว เพราะอาจมีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกันมานานนั้น เรื่องนี้เป็นอีกประเด็นที่เราจะใช้สอบถามเช่นเดียวกัน ส่วนหลังจากนี้ในบรรดาพยานที่ดีเอสไอสอบปากคำไป จะมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นผู้ต้องหาหรือไม่นั้น ก็คงต้องดูข้อมูลก่อน เพราะตอนนี้เราเรียกมาสอบถามในฐานะพยาน จึงต้องดูเพื่อความรอบคอบทั้งหมด ต้องพิจารณาเนื้อหาคำให้การและเอกสารชี้แจง สำหรับการเตรียมสอบปากคำ นายธีระ วรรธนะทรัพย์ กรรมการบริษัท ไมนฮาร์ทฯ ในช่วงบ่ายวันนี้ จะเกี่ยวข้องกับประเด็นการออกแบบตึก สตง. โดยเราจะไล่เรียงตั้งแต่ช่วงแรกของการรับงานมา เพราะตามข้อมูลทราบว่าบริษัทผู้ออกแบบมี 2 ราย คือ บริษัท ฟอ-รัม อาร์คิเทค จำกัด และบริษัท ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด ส่วนการแก้ไขแบบทั้ง 9 ครั้งที่ดีเอสไอตรวจพบในเอกสารว่ามีปัญหาในการขอแก้ไขแบบครั้งที่ 4 และครั้งที่ 6 นั้น เรื่องนี้ในการออกแบบถือว่าเป็นช่วงต้น ส่วนการขอแก้ไขแบบมันเป็นช่วงการดำเนินการ แต่จะมีความเกี่ยวข้องหรือรู้อะไรกันอย่างไรบ้าง เราจะต้องไปดูรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ กรณีของนายพิมล เจริญยิ่ง วิศวกรอายุ 85 ปี ดีเอสไอได้มีการสอบสวนปากคำไปแล้ว ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมรับว่าเป็นลายเซ็นของตนเองจริง แต่รายละเอียดเชิงลึกขอสงวนไว้ภายในสำนวน ซึ่งจากเดิมที่ก่อนหน้านี้บอกว่าจำรายละเอียดไม่ได้ ก็เหมือนเป็นการที่เขาได้กลับไปทบทวน เขาก็เลยให้การว่าเกี่ยวข้องในบางส่วน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในห้องอบรมความเชี่ยวชาญ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มีการนำกล่องลังเอกสาร 100 ลัง ที่ตรวจยึดมาจาก 24 ตู้คอนเทนเนอร์ ที่ถูกใช้เป็นสำนักงานชั่วคราวภายในไซต์งานก่อสร้างตึก สตง. มาเก็บไว้ภายในห้อง ซึ่งเป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการก่อสร้างและกระบวนการควบคุมงาน รวมถึงเอกสารการเบิกจ่ายเงินต่าง ๆ และบันทึกการทำงาน โดยหลังจากนี้จะต้องรอพนักงานสอบสวน นัดหมายผู้แทน สตง. และผู้แทนกิจการร่วมค้ามาทำการเปิดตรวจสอบร่วมกัน และชี้แจงอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อนำมาประกอบสำนวนคดี

กระทั่งเวลา 09.30 น. นายเกรียงศักดิ์ กอวัฒนา รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เดินทางมาถึงห้องประชุมกองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พร้อมแฟ้มเอกสาร 1 แฟ้ม ซึ่งหน้าปกปรากฏโลโก้ตราบริษัท อิตาเลียนไทยฯ

ผู้สื่อข่าวจึงพยายามสอบถามว่า วันนี้มาให้ข้อมูลอย่างไรบ้าง นายเกรียงศักดิ์ กล่าวว่า ขอเข้าพบพนักงานสอบสวนก่อน และเมื่อถามต่อว่า ได้มีการเตรียมเอกสารมาชี้แจงอย่างไรหรือไม่ เนื่องจากอิตาเลียนไทยฯ เป็นกิจการร่วมค้ากับไชน่า เรลเวย์ฯ และทราบหรือไม่ว่า บริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ เป็นบริษัทสัญชาติจีน นายเกรียงศักดิ์ กล่าวว่า แน่นอน รู้อยู่แล้ว ตนพร้อมชี้แจง

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานเพิ่มเติมว่า จากการสืบสวนเชิงลึกของดีเอสไอ ปรากฏข้อเท็จจริงว่าทั้งบริษัท อิตาเลียนไทยฯ และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ เคยมีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกันมาก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างสถานที่ราชการสำคัญแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพฯ ดังนั้น โครงการก่อสร้างอาคาร สตง. จึงไม่ใช่โครงการแรกที่ทั้งสองแห่งร่วมกันรับผิดชอบ