ทนายเผยครอบครัว "ผู้กำกับโจ้" ติดใจสาเหตุการเสียชีวิต ชี้เจ้าตัวเพิ่งพูดถึงการใช้ชีวิตหลังออกจากเรือนจำ เชื่อไม่มีแรงจูงใจที่จะอยากจบชีวิตตัวเอง
จากกรณี อดีต "ผู้กำกับโจ้" หรือ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล ถูกพบเสียชีวิตในเรือนจำกลางคลองเปรม เมื่อวันศุกร์ที่ 7 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 20.50 น. โดยทางกรมราชทัณฑ์ยืนยันไม่มีใครทำร้าย พร้อมตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด เมื่อเวลา 13.10 น. วันที่ 8 มี.ค. 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริเวณด้านหน้าเรือนจำกลางคลองเปรม เจ้าหน้าที่เรือนจำกลางคลองเปรม ได้นำร่างของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผู้กำกับโจ้ ไปชันสูตรพลิกศพที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม โดยมีญาติที่เดินทางออกมาจากภายในเรือนจำ และปฏิเสธให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน แต่ได้ให้นายวีรศักดิ์ นาคิน ทนายความของผู้กำกับโจ้ เป็นผู้ชี้แจงกับสื่อมวลชน
นายวีรศักดิ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ผู้กำกับโจ้ได้ฝากขอโทษพ่อแม่ของผู้เสียชีวิตในคดีที่เกี่ยวกับยาเสพติดที่มีการคลุมถุงดำ ในวันนี้ครอบครัวของผู้กำกับโจ้เสียใจและยังติดใจกับสาเหตุและแรงจูงใจการเสียชีวิต เนื่องจากก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 14 ม.ค.ที่ผ่านมา ทางญาติได้มอบหมายให้ตนไปแจ้งความที่ สน.ประชาชื่น เรื่องผู้กำกับโจ้ถูกเจ้าหน้าที่เรือนจำทำร้ายร่างกาย โดยในเอกสารระบุชื่อผู้คุมที่เป็นคู่กรณีไว้
ต่อมาจึงมีการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยผู้กำกับโจ้ตามระเบียบ โดยแจ้งว่าผู้กำกับโจ้ขัดขืนคำสั่งเจ้าหน้าที่ จนทำให้มีการย้ายแดนขังและห้องขังแยก ซึ่งเป็นไปตามคำสั่ง ผบ.เรือนจำกลางคลองเปรม ไม่ได้เกิดจากความสมัครใจของผู้กำกับโจ้ แต่ทางเจ้าหน้าที่อ้างว่าผู้กำกับโจ้เต็มใจขอแยกห้องขังเดี่ยว ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากตนไม่เห็นเอกสารลงชื่อยินยอมจากผู้กำกับโจ้ ซึ่งการแจ้งความมีครั้งเดียว แต่ทางครอบครัวได้ไปยื่นเรื่องร้องเรียนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร้องขอความเป็นธรรมกับอีกหลายหน่วยงาน
...
ส่วนกรณีที่มีรายงานเรื่องรอยฟกช้ำตามร่างกายของผู้กำกับโจ้ ตนรับทราบใบความเห็นแพทย์แล้ว ส่วนที่ระบุว่าผู้กำกับโจ้เป็นผู้ป่วยจิตเวชนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากมีการเข้าเยี่ยมผู้กำกับโจ้มาเป็นเวลานาน ไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้ ล่าสุดเมื่อวานนี้ญาติก็ได้เข้าเยี่ยม ก็ยังพบว่ามีอาการปกติ และยังมีการพูดคุยถึงการต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ เนื่องจากในศาลชั้นต้นสั่งจำคุกตลอดชีวิต รวมทั้งยังพูดถึงการใช้ชีวิตในอนาคตหลังออกจากเรือนจำ โดยที่ผ่านมาตนก็ได้เข้าเยี่ยมมาโดยตลอด
หลังจากมารับช่วงต่อเป็นทนายเมื่อปี 2566 พบว่าผู้กำกับโจ้ไม่ได้มีความเครียดหรือกังวลที่จะนำไปสู่การทำร้ายตัวเอง เพราะคดีเรื่องคลุมถุงดำถูกพิพากษาไปแล้ว คดีอยู่ชั้นอุทธรณ์ แต่ส่วนคดีที่อยู่ ป.ป.ช. ขั้นตอนนี้ระงับการสอบสวนชั่วคราว จึงไม่มีแรงจูงใจที่จะทำให้ผู้กำกับโจ้ฆ่าตัวตาย ซึ่งมูลเหตุเชื่อว่าอาจจะถูกบีบให้ยินยอมเรื่องการสอบวินัย หลังจากที่ไปแจ้งความ.