"กระบะเสียหลัก" พุ่งข้ามเลนชน "รถบัสโดยสาร" ซ้ำกระเด็นเฉี่ยวกระบะอีกคัน ต้องระดมทีมกู้ภัยฯ ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บนับ 10 ราย

เมื่อเวลา 14.28 น. วันที่ 7 มี.ค. 2568 ร.ต.อ.หญิงธัญญธิดา ปริโยทัย รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.วารินชำราบ รับแจ้งจากศูนย์ 191 อุบลราชธานี มีอุบัติเหตุรถโดยสารชนกับรถกระบะ 2 คัน ถนนวาริน-เดชอุดม ก่อนถึงมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 200 เมตร มีผู้บาดเจ็บหลายราย และมีผู้ติดภายในจึงได้ประสานหน่วยกู้ภัย และกู้ชีพในพื้นที่เข้าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ

จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบรถบัสโดยสารสีส้ม เส้นทางอุบล-นาจะหลวย หมายเลขตัว 4389 หมายเลขทะเบียน 10-6984 อุบลราชธานี บริเวณที่นั่งคนขับพบผู้บาดเจ็บเป็นหญิง 1 ราย ทราบชื่อ น.ส.ณัฐณิชา ราศิวงค์ อายุ 24 ปี ถูกอัดติดกับพวงมาลัย ขาด้านขวาหักผิดรูป เจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิสว่างบูชาธรรม ใช้เครื่องตัดถ่างเวลาประมาณ 10 นาที จึงสามารถนำตัว น.ส.ณัฐณิชา ออกมาได้อย่างปลอดภัย

ใกล้กันพบรถกระบะ อีซูซุสีขาว หมายเลขทะเบียน ผบ 3205 อุบลราชธานี สภาพด้านหน้าพังยับเยิน ทราบชื่อผู้ขับขี่คือ นายชลธี อายุ 35 ปี ได้รับบาดเจ็บถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลวารินชำราบ ล่าสุดอาการปลอดภัย

ถัดออกมาประมาณ 20 เมตร พบรถกระบะ อีซูซุ สีดำ หมายเลขทะเบียน บว 584 สกลนคร กระบะท้ายด้านขวามีรอยเฉี่ยวชนได้รับความเสียหาย มีนายณรงค์ พาลี อายุ 57 เป็นผู้ขับขี่

...

จากการตรวจสอบโดยรวมพบผู้บาดเจ็บกว่า 10 คนถูกนำเข้าข้างทาง ประสานรถพยาบาลจากหน่วยกู้ชีพในพื้นที่กว่า 20 คันเข้าลำเลียงผู้บาดเจ็บไปยังโรงพยาบาลต่าง ๆ ในพื้นที่อำเภอเมือง และอำเภอวารินชำราบ เบื้องต้น 11 คน ล่าสุดทุกคนพ้นขีดอันตรายแล้ว

นายณรงค์ เผยว่า ตนเองขับมาเลนขวาตามปกติ จากนั้นมีรถกระบะสีขาวขับมาด้วยความเร็วแซงซ้ายแล้วปาดเข้าขวาทำให้รถเสียหลักพุ่งข้ามเกาะกลางชนกับรถบัสโดยสาร ก่อนจะกระเด็นมาชนรถของตนทำให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมากดังกล่าว

ทางด้าน น.ส.อำพร พัชระ อายุ 25 ปี 1 ในผู้โดยสารที่มากับรถบัส เล่าว่า ตนเองเลิกงานกำลังจะกลับบ้านที่ อ.นาจะหลวย จึงได้ขึ้นรถคันเกิดเหตุมาโดยนั่งเบาะหลังประมาณแถวที่ 3 เหตุการณ์เกิดเร็วมากตนเองก็ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร มีเสียงโครมและรถก็กระแทกผู้โดยสารในรถกระเด็นไปคนละทาง จากนั้นก็ทุบกระจกหนีออกมาจากรถ

อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นมีรายงานว่าผู้ขับขี่รถกระบะมีอาการคล้ายคนเมาสุรา พนักงานสอบสวนจึงได้ให้แพทย์ทำการตรวจระดับแอลกอฮอล์ในคนขับทั้งหมด ก่อนจะสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป.