ตำรวจสอบสวนกลาง บุกรวบ 2 ผู้ต้องหา ร่วมขบวนการคอลเซ็นเตอร์ จับคนแต่งเป็น "ตำรวจเก๊" 1 ในแก๊งกองร้อยปอยเปต หลังทำเนียนสวมเครื่องแบบวิดีโอคอล หลอกเหยื่อหลายคนให้โอนเงิน

วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.ไพบูลย์ น้อยหุ่น รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท., พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย, พ.ต.อ.กฤษฎาพร ปานโปร่ง, พ.ต.อ.วัชรพันธ์ ศิริพากย์, พ.ต.ท.เนติ วงษ์กุหลาบ รอง ผบก.ปอท., พ.ต.อ.กานุภัท กิตติพันธ์ ผกก.1 บก.ปอท. โดยแถลงข่าวการจับกุม 2 ผู้ต้องหาในขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์

โดยมีเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ท.ภัททสักก์ ธนสุกาญจน์, พ.ต.ท.เอกพล แสงอรุณ รอง ผกก.1 บก.ปอท., พ.ต.ท.ปียเดช แก้วแฝก, พ.ต.ท.อาร์ติ พายทอง, พ.ต.ท.เอกคณิต เนตรทอง, พ.ต.ท.พรเสกข์ เชาวสันต์, พ.ต.ต.หญิง หทัยชนก อินทรวิจิตร, พ.ต.ต.เริงศักดิ์ อุปลา สว.กก.1 บก.ปอท., ร.ต.อ.ดุสิต ยอดหวิด, ร.ต.อ.ทัศพงษ์ ผ่องใส, ร.ต.อ.กษิดิศ ดิลกคุณานันท์, ร.ต.อ.ณัฐวัฒน์ ตาแว่น, ร.ต.อ.ปฏิญญา สงวนศักดิ์เกสร, ร.ต.ท.ทนคร บุรีรอง สว.กก.1 บก.ปอท. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปอท.

ร่วมกันจับกุม นายรามิลฯ อายุ 31 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 4557/2567 ลงวันที่ 19 กันยายน 2567 (สน.พญาไท) ในความผิดฐาน "ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น" และ นายวุฒิฯ อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ จ.153/256 ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ในความผิดฐาน "ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันโดยหลอกลวงคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, สมคบกันโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน

...

โดยพฤติการณ์ สืบเนื่องจากตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กก.1 บก.ปอท. ได้รับการร้องทุกข์จากผู้เสียหายว่า มีคนร้ายแต่งกายเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจวิดีโอคอลมาข่มขู่ผู้เสียหาย โดยแจ้งกับผู้เสียหายว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงิน และคดียาเสพติด พร้อมส่งเอกสารปลอมต่างๆ มาให้ผู้เสียหายดู จนทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัว และหลงเชื่อว่าบุคคลดังกล่าวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง ต่อมาคนร้ายจึงได้หลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้ามาตรวจสอบเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไปยังบัญชีคนร้าย รวมเป็นเงินมูลค่ากว่า 4 ล้านบาท

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนเพื่อจับกุมกลุ่มผู้กระทำความผิด ตามนโยบายเชิงรุกของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่ได้มีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ดำเนินการกวาดล้างขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เป็นภัยอาชญากรรมที่ก่อความเสียหายต่อประชาชนและสังคมในวงกว้าง และเน้นย้ำให้มีการเตือนภัยรูปแบบการหลอกลวงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พร้อมกับเปิดเผยโฉมหน้าของกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ที่แต่งกายเลียนแบบตำรวจ ข่มขู่ประชาชนให้ได้รับความเสียหาย เผยแพร่เป็นเบาะแสให้กับประชาชนผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย และสื่อต่างๆ

ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลจากระบบแจ้งความออนไลน์ และฐานข้อมูลพบว่า มีผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อในลักษณะเดียวกันนี้มากถึง 163 เคส เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเร่งรัดดำเนินการสืบสวนอย่างต่อเนื่อง จนภายหลังสามารถระบุตัวคนร้ายที่แต่งกายเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจวิดีโอคอลมาหลอกลวงผู้เสียหาย จากนั้นจึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน ขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งสองรายตามหมายจับดังกล่าว

โดยในวันที่ 30 ม.ค.2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุม นายรามิลฯ อายุ 31 ปี (ผู้ต้องหาที่ 1) ได้ที่บ้านพัก หมู่ 1 ต.คลองหินปูน อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว โดยจากการสอบถามผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ตนเองทำหน้าที่เป็นสาย 1 ในการติดต่อเหยื่อจากระบบ Sim Box ที่มีการเซ็ตระบบไว้ โดยตนเองจะได้ข้อมูลของเหยื่อ และจะต้องพูดตามสคริปต์ที่บอสชาวจีน และคนคุมงานซึ่งเป็นคนไทยส่งมาให้ ซึ่งเมื่อผู้ต้องหาพูดชักจูงเหยื่อจนเหยื่อเริ่มหลงเชื่อแล้ว จากนั้นจะมีการส่งต่อไปให้กับสาย 2 เพื่อดำเนินการ

ต่อมาในวันที่ 2 ก.พ.2568 เจ้าหน้าที่ตํารวจชุดสามารถจับกุม นายธนาวุฒิฯ (ผู้ต้องหาที่ 2) ได้ที่บ้านพัก ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยจากการสอบถามผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ โดยให้การว่าตนเองเป็นผู้ร่วม ขบวนการของเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งทําหน้าที่แต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่ตํารวจ วิดีโอคอลเพื่อหลอกลวงเหยื่อจริง นอกจากนี้ผู้ต้องหายังยอมรับอีกว่า ตนเองได้แต่งตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตํารวจ และวิดีโอคอลไปหลอกลวงผู้เสียหายอีกหลายราย รวมไปถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย

ทั้งนี้ ผู้ต้องหาให้การว่า ในขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตนเองจะมีหน้าที่ วิดีโอคอลเพื่อหลอกให้เหยื่อหลงเชื่อ และทําหน้าที่ควบคุมเหยื่อผ่านการวิดีโอคอลในระหว่างการหลอกลวง โดยเมื่อ เหยื่อหลงเชื่อแล้วจะมีคนร้ายที่เรียกว่าสาย 3 ทําหน้าที่ปิดดีล หลอกให้เหยื่อโอนเงินให้ ซึ่งในระหว่างการหลอกลวงจะมี ทั้งคนไทยและคนจีนทําหน้าที่เป็นคนควบคุม และคิดสคริปต์ในการหลอกลวงเหยื่อ เพื่อให้เป็นไปตามบทที่วางไว้โดย หากตนไม่ปฏิบัติตาม หรือต่อต้านจะถูกทําร้ายร่างกาย และหากตนสามารถหลอกจนเหยื่อหลงเชื่อ และโอนเงินมาให้ได้ตนจะได้รับส่วนแบ่งจากมูลค่าที่หลอกลวงเหยื่อ

...

เจ้าหน้าที่ตํารวจจึงได้นําตัวผู้ต้องหารายที่ 1 นําส่งพนักงานสอบสวน สน.พญาไท ส่วนผู้ต้องหารายที่ 2 นําส่ง พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ปอท. เพื่อดําเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

อย่างไรก็ตาม ตํารวจสอบสวนกลาง (CIB) เตือนภัยประชาชน ให้พึงระลึกไว้เสมอว่าเจ้าหน้าที่ตํารวจจริง จะไม่ทํา 3 สิ่ง ดังนี้

1. จะไม่มีการติดต่อทางไลน์ หรือวิดีโอคอล เพื่อสอบปากคํา หรือแจ้งข้อกล่าวหา 

2. ไม่มีการให้ผู้เสียหายโอนเงิน หรือทรัพย์สิน มาตรวจสอบเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ 

3. ไม่มีการส่งเอกสารราชการทางไลน์ เช่น หมายเรียก หมายจับ

โดยหากประชาชนพบเจอการหลอกลวงรูปแบบต่างๆ ในลักษณะข้างต้น ที่มีการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตํารวจ ให้บันทึกภาพหน้าจอ หรือ อัดวิดีโอ ขณะสนทนา ส่งแจ้งเป็นเบาะแส ได้ทางเฟซบุ๊ก ตํารวจสอบสวนกลาง (CIB) เพื่อ นําไปสู่การสืบสวน และจับกุมกลุ่มขบวนการนี้ต่อไป.