นักธุรกิจดัง วืดประกันตัวครั้งที่ 2 เหตุตำรวจยังสอบปากคำและรวบรวมหลักฐานไม่แล้วเสร็จ ด้านไรเดอร์อยากดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
กรณีนายอุทิตย์ หนูแดง อายุ 46 ปี อาชีพไรเดอร์และขี่วิน จยย.ชุมชนหัวหมาก เขตสวนหลวง ถูกนายสิริอานนท์ อายุ 46 ปี มีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการบริหารบริษัทประกอบกิจการอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่ง ข่มขู่ด้วยอาวุธปืนและทำร้ายร่างกาย เหตุเกิดบริเวณหน้าบ้านเลขที่ 36 ซอยพระราม 9 ซอย 35 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม. ช่วงเย็นวันที่ 29 ม.ค. 68 ตามที่นำเสนอไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันที่ 30 ม.ค. 68 ที่ สน.หัวหมาก พ.ต.อ.พรทวี สมวงค์ ผกก.สน.หัวหมาก เปิดเผยความคืบหน้าทางคดีว่า ขณะนี้ยังไม่ให้ประกันตัวผู้ต้องหาในชั้นพนักงานสอบสวน เนื่องจากยังสอบปากคำไม่เสร็จสิ้น เพราะตำรวจยังคงมีบางประเด็นที่จะต้องสอบปากคำผู้ต้องหาเพิ่มเติม และยังอยู่ในอำนาจการควบคุมตัวของตำรวจ 48 ชั่วโมง ทั้งนี้ครอบครัวของผู้ต้องหายื่นประกันตัวมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกช่วงกลางดึก 70,000 บาท และครั้งที่สองช่วงสาย 100,000 บาท
สำหรับการแจ้งข้อกล่าวหา ขณะนี้ยังคงแจ้ง 3 ข้อหาเหมือนเดิม คือ ข้อหาทำร้ายผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย กักขังหน่วงเหนี่ยวผู้อื่น ยิงปืนโดยใช่เหตุในเมืองหมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ
อย่างไรก็ตามพนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อหาพยายามฆ่า หลังไรเดอร์ผู้เสียหายแจ้งความเอาผิดเพิ่มเติม และอาจมีการแจ้งข้อหากับคนขับรถของผู้ต้องหาในข้อหาร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยว แต่ในชั้นจับกุมคนขับรถให้การปฏิเสธ ส่วนผู้ต้องหาในการสอบปากคำเบื้องต้นให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาในชั้นจับกุม แต่ว่ากระบวนการในชั้นสอบสวนไม่แล้วเสร็จ
...
จากการตรวจสอบอาวุธปืนทั้ง 5 กระบอกพบว่ามีทะเบียนที่ถูกต้องตามกฎหมายทุกกระบอก โดยมีหนึ่งกระบอกที่มีชื่อของผู้ต้องหาเป็นผู้ครอบครอง ซึ่งมีเอกสารอย่างถูกต้อง สำหรับอีก 4 กระบอกที่เหลือ ทางพนักงานสอบสวนจะต้องไปตรวจสอบอย่างละเอียดว่าใครเป็นผู้ครอบครอง
เบื้องต้นผู้ต้องหาอาจจะมีความผิดในพ.ร.บ.อาวุธปืน ในข้อหาครอบครองอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งต้องรอการตรวจสอบให้แล้วเสร็จ
เมื่อถามว่ามีการตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายของผู้ต้องหาแล้วหรือไม่ ผกก.สน.หัวหมาก ระบุว่า ในการก่อเหตุผู้ต้องหาไม่ได้ขับรถ จึงไม่ได้วัดปริมาณแอลกอฮอล์ แต่ขณะเข้าจับกุมพบว่าผู้ต้องหามีลักษณะคล้ายอาการมึนเมา และจากการสอบปากคำผู้ต้องหาก็ยอมรับว่าได้ดื่มสุราจริงตั้งแต่ตีห้าของวันที่เกิดเหตุ เบื้องต้นได้มีการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมของผู้ต้องหาพบว่าเคยก่อเหตุทำร้ายร่างกายผู้อื่นมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ 4-5 ปีก่อน และตำรวจยังตรวจหาสารเสพติดในร่างกายผู้ต้องหาแต่ไม่พบ
อย่างไรก็ตาม ผู้ต้องหายังให้การไม่ละเอียด เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การว่ามีคนขี่รถจักรยานยนต์มาวนเวียนที่บริเวณหน้าบ้านหลายวัน ทำให้วันที่เกิดเหตุเข้าใจว่าไรเดอร์คนดังกล่าวคือคนที่ขี่รถจักรยานยนต์มาวนเวียนที่หน้าบ้านก่อนหน้านี้ จึงบันดาลโทสะ ประกอบกับเมาสุราจึงก่อเหตุขึ้น ทั้งนี้ผู้ต้องหานั้นมีความเครียดสะสมมาหลายวันเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจโดยประกอบธุรกิจส่วนตัวจึงได้มีการดื่มสุรา แต่ผู้ก่อเหตุให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่โดยการให้เข้าไปตรวจภายในบ้าน ตำรวจจึงประสานเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานให้เข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ และอาวุธปืนรวมถึงกล้องวงจรปิดภายในบ้าน
ส่วนวันนี้ได้มีการเรียกไรเดอร์ผู้เสียหายเข้ามาสอบปากคำเพิ่มเติม ในการส่งพัสดุว่าใครเป็นคนสั่งมา ว่าให้มารับออเดอร์ที่บ้านของผู้ต้องหา เพื่อให้คลายข้อสงสัยในทุกประเด็น เบื้องต้นผู้หญิงที่มีการจ้างงานให้กับผู้เสียหายนั้นอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าเป็นใคร เมื่อถามว่าผู้หญิงที่เรียกไปรับพัสดุนั้นเป็นบุคคลในบ้านหรือไม่ ระบุว่าไม่ใช่บุคคลในบ้านเพราะบ้านหลังดังกล่าวอยู่กันเพียงแค่สองคนคือแม่และตัวผู้ต้องหา รวมถึงทราบมาว่าผู้ต้องหานั้นมีการเลิกรากับแฟนสาวไปแล้วหลายปี
ต่อมา เวลา 13.30 นายอุทิตย์ อายุ 46 ปี ผู้เสียหาย เดินทางที่ สน.หัวหมาก เพื่อเข้าพบพนักงานสอบสวนโดยทางพนักงานสอบสวนได้นัดมาเพื่อสอบปากคำเพิ่มเติม ได้เล่าเหตุการณ์ในวันที่เกิดเหตุว่า ได้รับออเดอร์ให้ไปรับพัสดุในซอยพระราม 9 ซอย 35 เมื่อไปถึงในซอยดังกล่าวตนไม่ทราบว่าบ้านลูกค้าคือหลังไหนจึงได้โทรไปสอบถามกับลูกค้าเพิ่มเติม โดยทางด้านลูกค้าได้แจ้งไป และถามกลับมาว่าบ้านหลังดังกล่าวมีรถยี่ห้ออะไรอยู่บ้าง แต่ขณะที่กำลังอธิบายอยู่นั้นผู้ต้องหาได้ออกจากบ้านมาพอดี ก่อนจะขับรถเลยไปก่อนที่จะขับวนกลับมา ก่อนเข้าไปทำร้ายร่างกายภายในบ้านพัก
ตอนแรกผู้ต้องหาถามกับตนว่า “เป็นสายมาสืบหรือเปล่า” ตนปฏิเสธพร้อมเอาโทรศัพท์มาโชว์กับผู้ต้องหาว่ามารับออเดอร์จริงๆ แต่ผู้ต้องหาไม่รับฟังพร้อมพูดว่า “รู้ไหมว่า_เป็นใคร” ก่อนจะนำอาวุธมาข่มขู่ และลากตนเข้าไปในบ้าน โดยหยิบปืนทีละกระบอกมาโชว์ และนำปืนมาทั้งทุบทั้งตีที่ร่างกายของตน พร้อมยิงปืนออกไปที่ประตู 1 นัด ไม่แน่ใจว่าผู้ต้องหาต้องการยิงขู่หรือไม่แต่ทางตำรวจได้มีการตรวจสอบปืนกระบอกดังกล่าวพบว่ามียังมีลูกกระสุนปืนคาอยู่ในลำกล้องปืนอีก 1 นัด ซึ่งตอนที่ผู้ต้องหานำปืนมาจ่อศีรษะตนนั้นไม่รู้ว่าเขายิงมาแล้วแต่ปืนมันด้านหรือไม่ แต่ถ้าในวันที่เกิดเหตุถ้าตนถูกยิงขึ้นมาจริงๆ ก็คงตายอยู่ในนั้น
...
นายอุทิตย์ ยังเล่าว่าในระหว่างที่ผู้ต้องหาทำร้ายร่างกายตนอยู่นั้น ลูกค้าที่เป็นผู้หญิงปลายสายนั้นก็ยังคงโทรศัพท์อยู่และพยายามขอคุยกับผู้ต้องหาแต่ผู้ต้องหานั้นไม่คุยพร้อมทำร้ายร่างกายตนต่อ แม้จะพยายามกราบร้องขอชีวิตแต่ก็ไม่เป็นผล ทำให้ตนได้รับบาดเจ็บหนักทั้งร่างกาย แขนซ้ายหักจนผิดรูป ส่งผลทำให้ไม่สามารถทำงานได้ 15 วัน และจะต้องทำการผ่าตัดที่พยาบาลในสังกัด ทำให้ไม่สามารถทำงานได้ขาดรายได้ ทั้งที่ตนมีภาระในการผ่อนรถ ถึงแม้จะไม่มีลูกแต่ก็ต้องมีภาระที่ต้องใช้จ่าย ยอมรับว่าเป็นกังวลในเรื่องของค่ารักษาพยาบาล จึงอยากจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด แม้ผู้ต้องหา คนขับรถ ผู้หญิงที่เป็นลูกค้า ก็จะไม่ให้อภัยต่อให้ก้มกราบก็ตาม
ตนได้สอบถามผู้หญิงที่เป็นลูกค้าว่าเรียกตนมาให้ถูกทำร้ายหรือไม่แต่ผู้หญิงคนดังกล่าวก็ไม่ตอบตัดสายทิ้งไป นายอุทิตย์ยืนยันว่าขณะที่ผู้หญิงคนดังกล่าวอยู่ในสายตอนที่ตนโดนทำร้ายร่างกายก็พยายามที่จะขอคุยแต่กับผู้ชายผู้ต้องหาอย่างเดียว
ยืนยันว่าตนไม่รู้จักทั้งลูกค้าที่เป็นผู้หญิงและผู้ต้องหา รับออเดอร์ที่บ้านหลังดังกล่าวนั้นเป็นการมาครั้งแรก พร้อมบอกว่าอยากให้ทุกคนเห็นภาพกล้องวงจรปิดขณะที่ตนถูกทำร้ายร่างกายอยากให้รู้ว่าตอนนั้นตนถูกกระทำบ้าง ตนจำได้ว่าถูกทำร้ายนานกว่าครึ่งชั่วโมง ส่วนในทางคดีอยากจะให้ตำรวจดำเนินคดีให้ถึงที่สุด และไม่อยากให้ผู้ต้องหาได้รับการประกันตัว ยอมรับว่าถ้าผู้ต้องหาได้รับการประกันตัวก็จะกังวล เพราะผู้ต้องหาเป็นคนมีฐานะ ส่วนตัวไม่มีอะไรไปสู้ อีกทั้งยังไม่รู้กฎหมาย มีเพียงแค่ตำรวจกับสื่อมวลชนที่จะช่วยได้เท่านั้น ในส่วนของค่าเสียหายก็ให้ทางตำรวจเป็นผู้ดำเนินการแทน.
...