สุรินทร์ ครอบครัว “ผู้ป่วยไส้ติ่งอักเสบคลุ้มคลั่ง” ขอความเป็นธรรม ระบุคาใจ “ตำรวจ” ทำเกินกว่าเหตุ ตั้งข้อสังเกตการระงับเหตุ มียุทธวิธีไล่จากเบาไปหาหนักหรือไม่ ลั่นเห็นสภาพศพแล้วรับไม่ได้ ขอดูกล้องวงจรปิด-กล้องบอดี้แคม เกี่ยวกับเหตุการณ์วันที่เกิดเหตุเพื่อความชัดเจน เผยขณะเกิดเหตุอาละวาด ผู้เป็นแม่สงสัยเกิดจากฤทธิ์ยากันชักกับยาแก้ปวดที่หมอฉีดให้หรือไม่ หลังลูกชายถาม “ที่นี่ที่ไหน” ถึงขั้นจำแม่ตัวเองไม่ได้ ด้าน ผบก.ภ.จว.สุรินทร์ รับปากจะช่วยอย่างเต็มที่ พร้อมให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย
จากกรณีเมื่อเวลา 14.10 น. วันที่ 3 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร.ต.อ.สวาท รุ่งสันเทียะ รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองสุรินทร์ ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ สภ.เมืองสุรินทร์ มีเหตุชายถูกยิงด้วยอาวุธปืนได้รับบาดเจ็บ ภายในห้องผู้ป่วยรวม โรงพยาบาลสุรินทร์ อาคาร 9 ชั้น 4 จึงรายงานเหตุให้ผู้บังคับบัญชาทราบได้เดินทางไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ เมื่อไปถึงพบผู้ได้รับบาดเจ็บ ทราบชื่อภายหลังคือนายอภิชัย ชมพู อายุ 26 ปี ชาว จ.สุรินทร์ ได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลจากคมกระสุนตามร่างกาย และแพทย์ทำการปฐมพยาบาลอยู่บริเวณที่เกิดเหตุและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า นายอภิชัย ชมพู (ผู้เสียชีวิต) ได้เข้ามารักษาตัวด้วยโรคไส้ติ่งอักเสบที่โรงพยาบาลสุรินทร์ และนอนพักฟื้นอยู่ภายในห้องผู้ป่วยรวม โรงพยาบาลสุรินทร์ อาคาร 9 ชั้น 4 เกิดอาการคลุ้มคลั่ง อาละวาด ใช้อาวุธขวานจากที่เก็บไว้เป็นอุปกรณ์ดับเพลิง และเสาน้ำเกลือ ไล่ทำร้ายพยาบาล ผู้ป่วย, ญาติผู้ป่วย และทรัพย์สินทางราชการ มีผู้ได้รับบาดเจ็บและทรัพย์สินเสียหาย เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลสุรินทร์ ได้โทรศัพท์แจ้งเหตุ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจรถจักรยานยนต์ จำนวน 2 นายคือ ร.ต.ต.อุบล พลพาน และ ส.ต.อ.วรสันต์ แดนกมล ได้เข้ามาระงับเหตุชายคลุ้มคลั่งดังกล่าว ตามที่ศูนย์วิทยุแจ้งเหตุ เมื่อ ร.ต.ต.อุบล พลพาน และ ส.ต.อ.วรสันต์ แดนกมล เจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึง พบว่านายอภิชัย ชมพู (ผู้เสียชีวิต) มือขวาได้ถืออาวุธขวานขนาดใหญ่ และเสาน้ำเกลือ กำลังคลุ้มคลั่งพร้อมกับได้ตรงเข้าหาจะทำร้าย จึงได้ระงับเหตุโดยการยิงเข้า 4 นัด ทำให้ผู้ก่อเหตุบาดเจ็บและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
...
ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2568 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยังบ้านอุดม ต.ชุมแสง อ.จอมพระ จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นบ้านของนายอภิชัย ชมพู (ผู้เสียชีวิต) อายุ 26 ปี โดยบรรยากาศภายในงานพบว่ามีญาติและชาวบ้านจำนวนมากมาช่วยกันจัดของเซ่นทำพิธีตามประเพณี และเป็นที่โศกเศร้าของญาติพี่น้อง ผู้สื่อข่าวพบนายอัมรินทร์ ชมพู (พี่ชายผู้เสียชีวิต) อายุ 36 ปี และนางปราณี บันเทิงใจ (แม่ผู้เสียชีวิต) อายุ 56 ปี นั่งอยู่กับญาติพี่น้องและชาวบ้านในอาการที่โศกเศร้า
นายอัมรินทร์ ชมพู (พี่ชายผู้เสียชีวิต) เล่าว่านายอภิชัย ชมพู (ผู้เสียชีวิต) นั้นเป็นน้องชายตน ซึ่งก่อนหน้าที่จะมาที่โรงพยาบาลสุรินทร์ น้องชายตนได้มีอาการชักและปวดท้องมาก จึงได้ส่งมาที่โรงพยาบาลอำเภอจอมพระ จ.สุรินทร์ ซึ่งแพทย์ได้แจ้งว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ จึงได้นอนพักรักษาตัวอยู่ 1 คืน จากนั้นได้ส่งตัวมารักษาต่อที่โรงพยาบาลสุรินทร์ ซึ่งได้ผ่าตัดไส้ติ่งเสร็จและนอนพักฟื้นที่อาคารดังกล่าว ซึ่งตนไม่รู้ว่าน้องชายเบลอยาที่หมอให้หรือเปล่า ถึงได้ก่อเหตุครั้งนี้
ได้ยินเสียงปืน 4 นัด
ตนขอบอกว่า น้องชายตนเคยเสพยาเมื่อปี 58 และได้เลิกเสพมาได้ 7 ปีแล้ว และน้องชายตนไม่ใช่เป็นผู้ป่วยจิตเวชตามที่กล่าวอ้าง นิสัยน้องตนชอบร่วมกิจกรรมกับชาวบ้านชาวชุมชนเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้านและเป็นนักกีฬาฟุตบอลของตำบลในตำแหน่งมือโกล หรือผู้รักษาประตู ซึ่งตนได้รับโทรศัพท์จากแม่ว่าน้องชายอาละวาดอยู่ที่โรงพยาบาล และเจ้าหน้าที่ตำรวจขึ้นไประงับเหตุอยู่ ขณะที่พูดคุยกับแม่ตนได้ยินเสียงปืน 4 นัด ตนก็คิดว่าน้องชายถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจวิสามัญแล้วแน่ๆ จากนั้นตนก็ได้รับทราบว่าน้องชายถูกตำรวจยิงสาหัสและมาเสียชีวิต ซึ่งตนก็ได้มาที่โรงพยาบาลสุรินทร์พร้อมกับแม่และญาติ ก็ได้เจ้าพูดคุยในห้องประชุมโรงพยาบาลสุรินทร์
ซึ่งทางโรงพยาบาลสุรินทร์และผู้บังคับการจังหวัดสุรินทร์ แจ้งว่าจะช่วยอย่างเต็มที่ โดยในวันนี้ (4 ม.ค. 68) เวลา 17.00 น. นายแพทย์ชวมัย สืบนุการณ์ ผอ.โรงพยาบาล พร้อมกับ พล.ต.ต.สุคนธ์ ศรีอรุณ ผบก.ภ.จว.สุรินทร์ มาเป็นเจ้าภาพงานศพนายอภิชัย ชมพู (ผู้เสียชีวิต) อีกด้วย ซึ่งการตายของน้องชายตนนั้น ตนยังคาใจว่าตำรวจทำเกินกว่าเหตุหรือไม่นั้น ตำรวจต้องให้ตนดูกล้องวงจรปิด หรือกล้องบอดี้แคมเพื่อความบริสุทธิ์ใจอีกด้วย
ขณะที่นางปราณี บันเทิงใจ (แม่ผู้เสียชีวิต) อายุ 56 ปี เล่าว่า วันเกิดเหตุ ลูกชายผ่าตัดไส้ติ่งเสร็จก็นอนพักดูอาการ ซึ่งลูกชายบอกแม่ว่าเจ็บแผลผ่าตัดมาก ทางพยาบาลก็ได้ฉีดยาแก้ปวดให้ หลังจากนั้นลูกชายเริ่มมีอาการถามว่า ที่นี่ที่ไหน แล้วคนที่เดินใช่คนหมู่บ้านเราไหม จากนั้นลูกชายได้เอะอะโวยวายและก็เดินไปมา ซึ่งช่วงนั้นลูกของแม่จำแม่ไม่ได้แล้ว โดยทางพยาบาลได้โทรเรียก รปภ.โรงพยาบาลขึ้นมาช่วย พร้อมกับแม่จึงรีบเดินออกมานอกห้อง
แม่ขอความเป็นธรรมให้ลูกชาย
“ครั้งสุดท้ายแม่เห็นลูกชายแม่ มือถือขวานอยู่ที่มือขวา และเสียงวี๊ดร้องของพยาบาลที่อยู่ในห้องดังขึ้น แม่ไม่กล้าเข้าและเรียก เพราะว่าอาการลูกชายแม่จำแม่ไม่ได้ จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงก็เข้าไปในห้องและได้ยินเสียงตำรวจตะโกนว่าให้วางอาวุธลง สักพักแม่ก็ได้ยินเสียงปืน 4 นัดขึ้น แม่ก็คิดแล้วว่าลูกชายแม่ถูกวิสามัญแล้ว แม่รู้สึกเสียใจมาก ที่ว่าลูกชายแม่เป็นผู้ป่วยติดยาและเคยมีประวัติเสพยา ซึ่งลูกชายแม่นั้นเคยเสพยา แต่ก็เลิกมาแล้ว 7 ปี ซึ่งลูกชายแม่แค่มีโรคเป็นโรคลมชัก และตั้งแต่เลิกยามาก็หันมาเล่นกีฬาฟุตบอล มีตำแหน่งมือโกล และเป็นที่รักของชาวบ้าน มักเข้าร่วมทำกิจกรรมของชาวบ้านตลอดมา” จึงอยากขอความเป็นธรรมให้ลูกชายตนด้วย เพราะลูกชายตนไม่เคยมีอาการคลุ้มคลั่งหรือทำร้ายใครมาก่อนเลย มีบ้างที่ดื่มสุราเท่านั้น
...
นางชิน วรรณทา เพื่อนบ้าน เล่าว่า นายอภิชัย ชมพู (ผู้เสียชีวิต) นั้น เป็นที่รักของชาวบ้าน เพราะมีงานกิจกรรมอะไรผู้เสียชีวิตจะเข้าร่วมงานช่วยเหลือตลอด และมีกีฬาหมู่บ้านก็จะมาร่วมแข่งกีฬาฟุตบอล ก็ไม่คิดว่าจะมาเสียชีวิตแบบนี้ เพราะเท่าที่อยู่ในหมู่บ้านไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อนเลย
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า บางช่วงบางตอน นางปราณี แม่ผู้เสียชีวิตให้ข้อมูลว่า หลังจากลูกชายเข้าผ่าตัดไส้ติ่งตอนตีสองของวันนั้น ลูกชายมีประวัติเคยชัก หมอเลยฉีดยากันชัก พอฟื้นขึ้นมา ก็ถามแม่ว่า “ทำไมผมเป็นอย่างนี้ หมอใส่ยาอะไรให้ผม” เลยบอกไปว่า “หมอกลัวชัก จะทำให้แผลผ่าตัดฉีก เลยฉีดยาให้” แม่อยู่กับเขาตลอดเวลา บอกเขาว่า “สู้ๆ เดี๋ยวก็หาย ยานี้ก็เป็นแบบนี้แหละ” แม่เคยให้ยาเขาเวลาชัก เขาจะนอนพูดไปเรื่อย เหมือนคนละเมอ เขานอนหลับ แต่มือเขาจะกระดิกไปมา แม่สงสัยว่าเกิดจากฤทธิ์ยากันชัก
ตอนเกิดเหตุแม่ไปเข้าห้องน้ำกลับมา เห็นผู้ช่วยพยาบาล พูดว่ามือทำไมอยู่ไม่นิ่ง เพราะผู้ตายเอามือไปเล่นจะถอดสายน้ำเกลือให้หลุด หมอก็เปลี่ยนใส่แขนอีกข้างและก็ย้ายเตียง ผู้ช่วยพยาบาลสองคนพูดไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จากฟังจากสำเนียง ลูกชายบอกทำไมย้ายมาตรงนี้ ตนเลยบอกว่าจะหายแล้ว เขาเลยย้าย จะกลับแล้ว ส่วนพยาบาลก็เอายากันชักมาฉีด เขาฉีดไม่ถึง 10 นาที เขานอนหลับและตื่นมาและถามตนอีกว่า “เขาอยู่ที่ไหน ทำไมผมเป็นแบบนี้” ก็บอกเขาให้สู้ สักพักเขาลุกพรวดและดึงสายน้ำเกลือทิ้ง แม่ก็สติหลุดเลยเรียกให้พยาบาลช่วยด้วยๆ แม่ก็หนี แล้วแม่ก็กลับมา เขาบอกไม่ให้มายุ่งอะไร หลังจากนั้นก็หลุดเลย ได้ยินเสียงอาละวาด ได้ยินแต่เสียงพยาบาลร้องส่งเสียงดัง ตนก็ชะเง้อดูลูกเรื่อยๆ คนไข้ก็นอนอยู่เต็มที่นอนและลุกไม่ได้ ถ้าเขาตีคงตายกันหมดแล้ว แต่แม่คิดว่าเขาคงข้องใจกับผู้ช่วยพยาบาล 2 คนนั้นที่ว่าเขา พอแม่เปิดประตูไปเห็นเขาถือขวาน แม่ก็กลัว แต่ตนไม่เห็นว่าลูกแม่ตีใคร เห็นแต่ยามอยู่หน้าประตู แม่วิ่งลงมาทางประตูหนีไปสักพักก็ได้ยินเสียงปืน 4 นัด แม่โทรคุยกับลูกคนโตว่า น้องมันคลั่ง มันหลอนอาละวาด ให้มาดูน้อง พอได้ยินเสียงปืน เท่านั้นเลยรู้ว่าเจ้าหน้าที่คงยิงแล้ว เลยบอกให้พาพี่น้องมาที่ รพ.สุรินทร์เลย
...
ยอมรับคาใจ-ขอดูกล้องวงจรปิด
“ตนติดใจ คือลูกแม่ไม่ได้ฆ่าใครตาย ไม่ได้ทำร้ายผู้ป่วยหนักหนา แค่ทำลายข้าวของ ทำไมต้องถึงขั้นวิสามัญลูกแม่ด้วย ระหว่างเกิดเหตุตนก็ไม่เห็น แต่เพื่อความชัดเจนและสบายใจ แม่ขอดูกล้องวงจรปิด ว่าลูกชายทำอะไรยังไงบ้าง จะได้รู้ว่าลูกตนเองไล่ตีพยาบาลหรือตีใครมาบ้าง เมื่อวานรอง ผอ.รพ.สุรินทร์ ก็มาส่งตนเองที่บ้านพร้อมกับศพ เขาก็พูดแสดงความเสียใจ กับเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ตำรวจเขาบอกว่าสุดวิสัย เป็นการป้องกันตัว
ตำรวจทำเกินกว่าเหตุหรือไม่
ด้านนางสุพิน มสาธานัง อายุ 42 ปี น้าสาวผู้ตาย ให้ข้อมูลว่า ผู้ตายเป็นคนขี้เล่น ชอบหยอก เงียบขรึม นิสัยธรรมดา ตามประสาวัยรุ่น ส่วนใหญ่เขาชอบชัก การคลุ้มคลั่งไม่มี มีแต่เคยขู่ถ้ามีปัญหากับใคร แต่ไม่เคยมีถึงขั้นลงไม้ลงมือ แต่ติดว่า การที่ไปรักษาตัวในนามคนป่วย แต่ญาติกลับได้รับศพมา การกระทำของตำรวจเกินกว่าเหตุไหม อยากให้เขาได้รับความเป็นธรรม แต่ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรบ้าง แต่เห็นสภาพศพแล้วรับไม่ได้ เห็นว่าโดนยิง ฝ่ามือ แขน ซี่โครงทะลุ และต้นขา น่าจะสี่นัด การระงับเหตุยิงขาแล้วไม่อยู่ถึงขั้นยิงถึงปอดถึงซี่โครงเลยหรือ เขาผ่าตัดใหม่ๆ ไม่มีแรงขนาดนั้น ทำไม รปภ. 20 คนเอาไม่อยู่ ถึงขนาดให้เขาต้องได้ไปเอาอาวุธขวานได้ แล้วยุทธวิธีตำรวจไม่มีทำเบากว่านี้หรือ ที่ว่าไม่ใช้ปืนจริง กระสุนจริง แต่นี้ใช้ถึงขั้นใช้กระสุนจริง จนต้องเสียชีวิต อยากทราบความกระจ่างในเรื่องนี้และขอเรียกร้องความเป็นธรรมด้วย