รอง ผบช.ภ.5 เค้นสอบ พ.ต.ท.เอี่ยวแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รับเครื่อง Sim Box อยู่ในห้องลูกสาว แต่อ้างนึกว่าเป็นเครื่องโทรศัพท์ไว้กระจายสัญญาณ โดนตั้งหลายข้อหาหนัก พร้อมตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง หลังผู้ต้องหาชุดแรกซัดทอด ไปพบแก๊งคอลฯ และนำกล่องมาติดตั้ง พร้อมรับเงินไปแล้ว
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 20 ก.ค. 67 พล.ต.ต.วีรชน บุญทวี รอง ผบช.ภ.5 เดินทางมาสอบปากคำ พ.ต.ท.บัณฑิต คนการ สว.อก.สภ.หางดง ผู้ต้องหา โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนให้สัมภาษณ์ว่า พ.ต.ท.บัณฑิต มีอาการเครียดมากจากการสอบปากคำ และจากการสอบสวนเบื้องต้น พ.ต.ท.บัณฑิต คนการ สว.อก.สภ.หางดง ให้การว่าเขาทราบว่าเครื่องซิมบ็อกซ์ที่ได้รับมา อยู่ที่ห้องของลูกสาว ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่ 1 คดีนี้ แต่ไม่ทราบว่าเครื่องนี้ทำงานอย่างไร ส่วนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ คนที่ติดต่อเป็นแฟนของลูกติดภรรยาใหม่ ชื่อแคท สัญชาติเมียนมา ที่ประสานงานว่าจะเอาอุปกรณ์ทั้งหมดมาติดตั้งที่ไหนภายในห้องของลูกสาว ซึ่งมีสัญญาณอินเทอร์เน็ตอยู่แล้ว เขาคิดว่าเป็นเครื่องโทรศัพท์เอาไว้กระจายสัญญาณเท่านั้น ไม่ทราบว่าเป็นซิมบ็อกซ์ ซึ่งหลังจากที่ตำรวจจับกุมทั้งหมด 3 จุดในเขตอำเภอเมือง

...
โดยตำรวจได้เข้าทำการตรวจค้นที่ห้องพักเลขที่ 465/33 อาคารชุดเอื้ออาทรป่าตัน 1 อาคาร 1 ต.ป่าตัน อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ห้องพักเลขที่ 460/60 อาคารชุดบ้านเอื้ออาทรไนท์ซาฟารี อาคาร 1 ต.หนองควาย อ.หางดง จ.เชียงใหม่ โดยการตรวจค้นก็พบเครื่องแปลงสัญญาณโทรศัพท์แบบใส่ซิมการ์ด (SimBox) จำนวน 12 เครื่อง เครื่องสำรองไฟ

รอง ผบช.ภ.5 กล่าวด้วยว่า โดยจากพยานหลักฐานที่เราดูนั้น กลุ่มผู้ต้องหาตัวการสำคัญนั้นจะอยู่ต่างประเทศ ซึ่งอาจจะเป็นคนเชื้อสายจีน โดยมีพนักงานคนไทยไปทำ กลุ่มพวกนี้จะไม่ตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในไทย แต่อุปกรณ์ที่ใช้ติดต่อสื่อสารเบื้องต้น ซึ่งอุปกรณ์นี้ผู้โทรจะสามารถโทรจากต่างประเทศมาไทยได้ เป็นเบอร์โทรในไทยโดยใช้สัญญาณจากกล่องตัวนี้ ทั้งเอสเอ็มเอสและโทรศัพท์ การกระทำของผู้ต้องหาทั้งหมดก็เป็นขบวนการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์เท่านั้นเอง แต่ไม่ได้เป็นตัวการหลัก และไม่ได้เป็นหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งดูแล้วเป็นการแบ่งหน้าที่การทำมากกว่า เหมือนองค์กรอาชญากรรม ซึ่งผู้ต้องหาหลักอยู่ต่างประเทศ ในคดีของภาค 5 นั้นจะทำเป็นคดี พ.ร.บ.การมีส่วนร่วมในการก่ออาชญากรรม ซึ่งเราพิสูจน์เชื่อได้ว่าการกระทำผิดส่วนหนึ่งนอกราชอาณาจักร เครื่องพวกนี้มีหัวหน้านำเข้ามาโดยผ่านช่องทางชายแดนประเทศไทยเพื่อมากระทำความผิด ซึ่งความเชื่อมโยงต่างๆ หากเรารวบรวมพยานหลักฐานไปยังตัวการหลัก ทางตำรวจก็จะดำเนินคดีเรื่องการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรม ซึ่งเป็นเรื่องของอาชญากรรมข้ามชาติ

อย่างไรก็ตาม ซิมบ็อกซ์ที่เราตรวจเจอ 3 จุดนั้น เป็นการใช้เสาสัญญาณในไทย ซึ่งเสี่ยงต่อการจับกุมมาก ดังนั้นขบวนการเหล่านี้จึงเลือกที่จะไปตั้งเสาตามแนวชายแดนไทย ดังนั้นเพื่อเป็นการปราบปรามและตัดวงจรขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ทางตำรวจจะมีการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่จะไปดูเสาสัญญาณที่แนวชายแดน เพื่อทำลายซิมม้าและบัญชีม้าควบคู่ไปด้วย

ส่วนความผิดของ พ.ต.ท.บัณฑิต ผู้ต้องหานั้น ผบช.ภ.5 ได้สั่งการไปยัง ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ ให้มีการตั้งคณะกรรมการทำงานให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เพราะจากข้อมูลจับกุมผู้ต้องหาชุดแรกให้การว่า ได้นัด พ.ต.ท.บัณฑิต ซึ่งเป็นพ่อเลี้ยง ไปพบกับเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ที่จังหวัดพะเยา เพื่อนำกล่องซิมบ็อกซ์มาติดตั้งที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้รับเงินชุดแรกจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จำนวน 80,000 บาท เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2567 เพื่อนำเงินจำนวนนี้มาหาห้องเช่าและติดตั้งอุปกรณ์ โดยได้เริ่มติดตั้งตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567 ซึ่งได้ตั้งกล่องซิมบ็อกซ์ไปทั้งหมด 12 เครื่อง และได้ค่าเช่าเครื่องเดือนละ 5,000 บาท ซึ่งขบวนการนี้วางแผนจะติดตั้งกล่องซิมบ็อกซ์ทั้งหมด 40 เครื่อง กระทั่งมาถูกตำรวจจับกุมตัวเมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2567
...

เบื้องต้นตำรวจตั้งข้อหา "ร่วมกันทำ มี ใช้ นำเข้า นำออก หรือค้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต ร่วมกันตั้งสถานีวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต ร่วมกันใช้คลื่นความถี่ในการประกอบกิจการโทรคมนาคม" โดยพรุ่งนี้จะนำตัวพ.ต.ท.บัณฑิต ไปฝากขังศาลจังหวัดเชียงใหม่.