คณะพนักงานสอบสวนดีเอสไอ-อัยการ มีมติสั่งฟ้อง 8 ตำรวจ สภ.อรัญประเทศ ภ.จว.สระแก้ว ตั้งแต่ "ผกก.ยัน ผบ.หมู่" ฟันอ่วม ม.157 ม.6-ม.7 ตาม พ.ร.บ.อุ้มหาย เผยผู้ต้องหาส่วนใหญ่ให้การปฏิเสธ แต่เป็นการปฏิเสธในรายละเอียดที่แตกต่างกันออกไป
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 11 กรกฎาคม 2567 ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ นำโดย นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผอ.กองกิจการอำนวยความยุติธรรม ร่วมกับคณะทำงานตรวจสอบหรือกำกับการสอบสวน นำโดย นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมประชุมพิจารณาสรุปความเห็นทางคดีพิเศษที่ 9/2567 หรือคดีลุงเปี๊ยก นายปัญญา คงแสนคำ พร้อมกับตัวแทนของอีก 2 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมการปกครอง
ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม นายวัชรินทร์ กล่าวว่า จากที่คณะพนักงานสอบสวนสรุปสำนวนภายในสิ้นเดือน ก.ค.นี้ จะได้มีการสรุปสำนวนพร้อมนำตัวผู้ต้องหาไปส่งฟ้องยังพนักงานอัยการ สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค 2 ก่อนที่ชั้นอัยการจะมีการตรวจสอบสำนวนและมีความเห็นสั่งฟ้องไปยังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 2
ส่วนผลการประชุมในวันนี้ คณะพนักงานสอบสวนมีมติความเห็นทางคดีสั่งฟ้องตำรวจ สภ.อรัญประเทศ ทั้ง 8 ราย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพราะไม่มีการแจ้งการจับกุมลุงเปี๊ยกต่อนายอำเภออรัญประเทศ โดยอ้างว่าเป็นเพียงการเชิญตัวมา ทั้งๆ ที่ในหลักการของการควบคุมตัว จับกุม กักขัง หรือทำให้บุคคลปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้น จะอ้างว่าเป็นการเชิญตัวไม่ได้ ดังนั้น เมื่อไม่มีการแจ้งจึงผิดกฎหมาย
ส่วนความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมาน และการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 หรือ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ประกอบด้วย มาตรา 6 การกระทำย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมโหดร้าย และมาตรา 7 การอุ้มหาย หรือการกระทำที่มีการปกปิดชะตากรรม เพราะตามข้อเท็จจริงแล้ว จะต้องนำตัวลุงเปี๊ยกส่งพนักงานสอบสวนตามกฎหมาย แต่ในกรณีนี้กลับเอาตัวลุงเปี๊ยกไปกักขังไว้ห้องสืบสวน สภ.อรัญประเทศ โดยใช้เวลาทั้งคืน จึงผิดฐานปกปิดชะตากรรม ทั้งนี้ แม้ความเห็นของชั้นสอบสวนจะมีความเห็นสั่งฟ้องทั้ง 8 ผู้ต้องหา แต่หากหน่วยงานอื่นใดเห็นแย้ง ก็สามารถทำความเห็นมาได้ หรือชี้แจงในประเด็นที่ไม่เห็นด้วยกับคณะพนักงานสอบสวนได้
...
นายวัชรินทร์ กล่าวอีกว่า สำหรับพยานหลักฐานที่ผู้ต้องหาได้นำมายื่นชี้แจงแก้ข้อกล่าวหานั้น คณะพนักงานสอบสวนให้ความเป็นธรรม โดยเราได้มีการลงพื้นที่ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงต่างๆ และลงพื้นที่ไปสอบพยานในเหตุการณ์ มีการสอบปากคำลุงเปี๊ยกย้อนหลังด้วย เพราะเราจะต้องสอบตามที่ผู้ต้องหาได้ร้องขอความเป็นธรรม มีการอ้างพยานหลายปาก เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ครบถ้วนที่สุด
อย่างไรก็ตาม ในชั้นการสอบสวนแม้จะมีความเห็นสั่งฟ้องทั้ง 8 ผู้ต้องหา แต่หากสำนวนไปถึงชั้นอัยการ แล้วอัยการมีความเห็นให้สอบสวนเพิ่มเติม หรืออาจมีการสั่งให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหารายอื่นๆ เพิ่มเติม หรือมีความเห็นไม่สั่งฟ้องผู้ต้องหาตามชั้นสอบสวนก็เป็นไปได้ ถือเป็นดุลยพินิจของอัยการ สำหรับการต่อสู้ของผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนหรือการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ต้องยอมรับว่าผู้ต้องหาส่วนใหญ่ให้การปฏิเสธ แต่เป็นการปฏิเสธในรายละเอียดที่แตกต่างกันออกไป บางรายให้การปฏิเสธคล้ายกันแต่บางรายก็ให้การปฏิเสธสวนทางกัน แต่ยืนยันว่าในหลักการทำงานการสอบสวน เราจะไม่นำเอาคำให้การสารภาพใดๆ ของผู้ต้องหามาเป็นเกณฑ์ แต่เราใช้พยานหลักฐานที่เป็นนิติวิทยาศาสตร์มาเป็นข้อประจักษ์ในการดำเนินคดี ซึ่งพยานหลักฐานที่คณะพนักงานสอบสวนได้ไปรวบรวมแสวงหานั้นจะเป็นทั้งพยานเอกสาร พยานวัตถุ และการสอบปากคำพยานบุคคล โดยเฉพาะกรณีของพยานวัตถุจะเป็นกล้องวงจรปิดบริเวณโดยรอบสถานที่เกิด
ทั้งนี้ ในการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ เราไม่มีความกังวลเพราะทำตามพยานหลักฐาน ไม่ได้มีการกลั่นแกล้งใคร หากใครมีพยานหลักฐานชัดเจนว่ากระทำความผิดก็ต้องถูกดำเนินคดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าในชั้นศาล ผู้ต้องหาที่ถูกสั่งฟ้องในชั้นสอบสวนทั้ง 8 ราย จะต้องถูกศาลมีคำพิพากษา เนื่องจากศาลก็ต้องไปดูพยานหลักฐานทั้งหมดเช่นกัน สำหรับลุงเปี๊ยก ปัจจุบันนี้อยู่ระหว่างการดูแลของสถาบันธัญญารักษ์ จังหวัดปทุมธานี โดยรวมมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดีและสุขภาพจิตใจดี ไม่ได้มีภาวะเป็นผู้ติดแอลกอฮอล์ แม้ในอดีตเคยมีพฤติกรรมดื่มเหล้าก็ตาม แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาในเรื่องสุขภาพ และยังมีน้ำหนักอ้วนท้วนสมบูรณ์ดี สามารถจดจำได้ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและให้การเป็นประโยชน์ต่อคณะพนักงานสอบสวน
ด้านนายอังศุเกติ์ กล่าวว่า ภายหลังจากที่คณะพนักงานสอบสวนได้ลงพื้นที่สืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานและได้มีการสอบปากคำพยานบุคคลกว่า 40 ปาก เก็บรวบรวมพยานวัตถุจำพวกกล้องวงจรปิด และได้สอบปากคำบุคคลภายในเหตุการณ์ จึงเป็นเหตุผลให้คณะพนักงานสอบสวนมีมติลงความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 8 ราย ประกอบด้วย
พ.ต.อ.พิเชษฐ์ ศรีจันทร์ตรา ผกก.สภ.อรัญประเทศ
พ.ต.ท.พิชิต วัฒโน รอง ผกก.สส.สภ.อรัญประเทศ
พ.ต.ท.นิติธร พิมพ์คำ สว.สส.สภ.อรัญประเทศ
ร.ต.อ.พงศภัค พลแสน รอง สว.สส.สภ.อรัญประเทศ
ร.ต.อ.พชร บุญอินราทากูร รอง สว.สส.สภ.อรัญประเทศ
ด.ต.ภิเศก พวงมาลีประดับ หรือดาบเศก ผบ.หมู่ สส.สภ.อรัญประเทศ
จ.ส.ต.ทวีศักดิ์ พูนสะสมทรัพย์ ผบ.หมู่ สส.สภ.อรัญประเทศ
ส.ต.อ.ชัยศิริ สุรโฆษิต ผบ.หมู่ สส.สภ.อรัญประเทศ
ส่วนอัตราโทษตามมาตรา 6 และมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.อุ้มหายฯ มีดังนี้ ผู้กระทำความผิดฐานกระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามมาตรา 6 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ, ผู้กระทำความผิดฐานกระทำให้บุคคลสูญหายตามมาตรา 7 ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสามแสนบาท.