ผู้ช่วย ผบ.ตร.ไฟเขียวโอนสำนวนคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีน ในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ให้ตำรวจไซเบอร์-อัยการสูงสุดรับผิดชอบคดี หลังพบพฤติการณ์เป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ แต่ยังไร้วี่แววการออกหมายจับนักการเมืองท้องถิ่นเบื้องหลัง ใกล้ชิดตำรวจระดับนายพล
กรณี การเข้าทลายจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ ที่ใช้โรงแรมเก่าในย่านตลาดจันดี อำเภอฉวาง และโกดังสินค้าในอำเภอนาบอน นครศรีธรรมราช รวม 4 จุด สามารถจับกุมผู้ต้องหาชาวจีนและไทยได้ 71 คน และยังจับกุมขณะหลบหนีในท้องที่จังหวัดชุมพร ได้อีกจำนวนหนึ่ง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา แม้บ่งชี้ได้ถึงความกว้างขวางของขบวนการที่โยงไปถึงเจ้าของสถานที่ตัวจริง ซึ่งเป็นนักการเมืองท้องถิ่นรายหนึ่ง และยังเชื่อมโยงไปถึงชาวจีนที่มีบทบาทความสัมพันธ์เชิงครอบครัว แต่ปัจจุบันยังไม่สามารถเชื่อมโยงดำเนินการทางกฎหมายได้ ทั้งยังมีของกลางที่ถูกยึด เช่นคอมพิวเตอร์พีซีกว่า 200 เครื่อง โทรศัพท์มือถือกว่า 1 พันเครื่อง สมุดบัญชีแทบทุกธนาคารในประเทศไทยนับร้อยเล่ม ซึ่งน่าเชื่อว่าเป็นบัญชีที่ถูกเรียกว่า “บัญชีม้า” ซิมการ์ดอีกนับร้อย รวมทั้งของกลางอื่นๆ อีกหลายรายการ
ความคืบหน้าล่าสุดเริ่มมีความชัดเจนขึ้น โดยมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ผู้บังคับการตำรวจภูธรนครศรีธรรมราช ได้เข้าชี้แจงข้อมูลคดีต่อคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา ปรากฏข้อมูลสำคัญจากการสรุปของคณะกรรมาธิการว่า คดีได้ถูกยกระดับเป็นลักษณะขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดย พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้อนุมัติให้มีการโอนสำนวนการสอบสวนคดีจากกองบังคับการตำรวจภูธรนครศรีธรรมราช ไปยังกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ตำรวจไซเบอร์) เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญ และมีเครื่องมือการสืบสวนสอบสวนที่มีความพร้อม
...
และได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมกับผู้ต้องหาชาวจีน และชาวไทยอีกจำนวนหนึ่ง รวมจำนวน 63 ราย โดยทั้งหมดถูกแจ้งข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตัวเป็นบุคคลอื่น ร่วมกันทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และได้แจ้งต่ออัยการสูงสุด เป็นผู้รับผิดชอบสำนวนคดีตาม ป.วิอาญา มาตรา 20 แล้ว ซึ่งเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมา กองบังคับการตำรวจภูธรนครศรีธรรมราช ได้ส่งสำนวนพร้อมของกลางทั้งหมดให้กับ บช.สอท.ดำเนินการแล้ว
ส่วนการฝากขังผู้ต้องหาขณะนี้เข้าสู่ผลัดที่ 4 เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม และกำลังเป็นที่กังวลว่า จะสามารถทำสำนวนส่งฟ้องได้ทันหรือไม่
ขณะเดียวกันการจับตาว่าจะมีการเชื่อมโยงไปถึงครอบครัวของนักการเมืองท้องถิ่นรายหนึ่ง ซึ่งถูกระบุว่าอยู่เบื้องหลังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนที่ใหญ่ที่สุดที่เคยจับได้ในประเทศไทยแก๊งนี้ กลับยังไม่มีความคืบหน้า และเป็นที่จับตาว่านักการเมืองรายดังกล่าว มีความเชื่อมโยงกับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่บางนายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งในและนอกราชการ รวมทั้งยังมักปรากฏตัวกับนักการเมืองระดับประเทศบ่อยครั้ง.