ตำรวจเตรียมนำ "ดร.หญิงอดีตผู้บริหารบริษัทชื่อดังระดับโลก" ส่งฟ้องศาล คดีเมาแล้วขับปี 65 วันที่ 10 พ.ค.นี้ ขณะที่พนักงานสอบสวน มือทำคดี ชี้แจงวุ่นปมส่งฟ้องล่าช้า พร้อมยืนยันไม่เคยโทรไปบอกว่า “ไม่ต้องมาพบตำรวจแล้ว เรื่องมันจบแล้ว”
กรณี (ดร.) น.ส.มนธ์สินี กีรติไกรนนท์ อายุ 51 ปี อดีตผู้บริหารกลุ่มองค์กรภาครัฐ Google Cloud ประเทศไทย บริษัทให้บริการข้อมูลระดับโลก ถูกจับกุมเมาแล้วขับ ทำร้ายร่างกายและต่อสู้ขัดขวางถีบหน้า พ.ต.ท.ดาราธร ขจรศิลป์ รองผกก. 5 บก.จร. ระหว่างนำตัวขึ้นรถส่งดำเนินคดีที่ สน.ประเวศ
เหตุเกิดที่ด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ ตั้งอยู่บริเวณฝั่งตรงข้ามมัสยิด ถนนเลียบมอเตอร์เวย์ แขวงและเขตสวนหลวง กทม. เมื่อเวลา 00.30 น. วันที่ 24 เม.ย. ที่ผ่านมา ถูกแจ้ง 3 ข้อหาหนัก เมาขับทำร้ายร่างกายและต่อสู้ขัดขวางขณะเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ ก่อนประกันตัวออกไป
ตรวจสอบประวัติผู้ต้องหาเคยถูกจับดำเนินคดีข้อหาเมาแล้วขับ เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 65 เวลา 22.00 น. โดยการจับกุมดังกล่าวเป็นการจับกุมในพื้นที่ใกล้กับจุดเกิดเหตุครั้งนี้ และตำรวจที่เป็นผู้จับกุม เป็นตำรวจจาก กก. 5 บก.จร.เช่นเดียวกัน แต่ผู้ต้องหายืนยันเสียงแข็งมาตลอด ไม่เคยถูกจับมาก่อน ต่อมา พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.สั่งให้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าว
ความคืบหน้าเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 2 พฤษภาคม 2567 มีรายงานว่า คดีที่ น.ส.มนธ์สินี ถูกจับเมาขับปี 65 ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ได้ 69 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เกินกว่ากฎหมายกำหนด ชุดจับกุม กก.5 บก.จร.นำผู้ต้องหาส่งให้พนักงานสอบสวน สน.ประเวศ (ยศ ร.ต.อ.ขณะนั้น) ดำเนินคดี น.ส.มนธ์สินี ให้การว่า ปฏิเสธข้อหา ยืนยันว่าไม่ได้เมาที่เป่าวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ได้ 69 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เพราะใช้สเปรย์แอลกอฮอล์ฉีดฆ่าเชื้อโควิดทั้งมือและช้อนส้อม รวมไปถึงฉีดใส่ที่เครื่องเป่าวัดปริมาณแอลกอฮอล์ให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจให้ได้ว่า ตนดื่มเหล้ามาถึงจะยอมรับผิด
...
ต่อมาเจ้าของคดียศร้อยตำรวจเอก (ร.ต.อ.) โยกย้ายไปขึ้นตำแหน่งสารวัตร (พ.ต.ต.) พนักงานสอบสวน ที่สน.นางเลิ้ง โผแต่งตั้งระดับ รองสว.ถึงรองผกก.ที่ผ่านมา ส่วนสำนวนเมาขับ น.ส.มนธ์สินี อยู่ที่สน.ประเวศ ไม่มีพนักงานสอบสวนคนไหนรับผิดชอบ และยังไม่มีการนำผู้ต้องหาไปส่งฟ้องศาลแต่อย่างใด
ด้าน พ.ต.อ.สุรพงษ์ พุฒขาว ผกก.สน.ประเวศ เปิดเผยถึงกรณีอดีตพนักงานหญิงบริษัทดังระดับโลก ก่อเหตุเมาแล้วขับ ต่อสู้ขัดขวางถึงขั้นถีบหน้า พ.ต.ท.ดาราธร ขจรศิลป์ รอง ผกก.5 บก.จร. ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ อีกทั้งมีคดีเมาแล้วขับเมื่อปี 65 ว่า สำหรับคดีเมาแล้วขับ เมื่อปี 2565 นั้น
ล่าสุด ได้นัดให้ผู้ต้องหามาพบพนักงานสอบสวนวันที่ 10 พ.ค. 67 นี้ เพื่อนำตัวส่งฟ้องศาล โดยคดีนี้มีการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ได้ 69 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ แต่ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธว่า ตอนนั้นเป็นช่วงโควิด-19 ระบาด จึงมีการใช้สเปรย์แอลกอฮอล์ฉีดภาชนะต่างๆ / ฉีดทำความสะอาดร่างกาย
และฉีดที่เครื่องเป่าด้วย ทำให้มีปริมาณแอลกอฮอล์ขึ้น เมื่อตำรวจกล่าวหาว่าเมาแล้วขับ ผู้ต้องหาจึงขอให้ตำรวจส่งสเปรย์แอลกอฮอล์ไปตรวจพิสูจน์
โดยหลังจากนั้น ผลการตรวจโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้แจ้งกลับมา ซึ่งผลดังกล่าวไม่สามารถบอกโดยละเอียดได้ แต่บอกได้ว่า ใช้เป็นพยานหลักฐานที่ทำให้พนักงานสอบสวนยังคงใช้แจ้งข้อกล่าวหาเมาแล้วขับกับผู้ต้องหาได้อยู่
สำหรับประเด็นที่สำนวนคนี้ ยังไม่ได้มีการส่งฟ้อง เนื่องจากพนักงานสอบสวนในขณะนั้นได้มีการย้ายไปก่อน
พ.ต.อ.สุรพงษ์ กล่าวอีกว่า พนักงานสอบสวนได้ทำสำนวนเสร็จสิ้นแล้ว แต่ย้ายไปก่อนโดยไม่ได้นัดผู้ต้องหามาส่งฟ้อง และไม่มีใครมาตรวจสอบ ทำให้คดียังค้างอยู่ แต่พอเกิดเหตุการณ์ล่าสุดขึ้น ก็ได้ทำการตรวจสอบคดีย้อนหลังในระบบ พบว่ามีคดีอยู่ จึงรีบสั่งสำนวนมาดำเนินการนัดส่งฟ้อง อย่างไรก็ตามล่าสุด ผู้บังคับบัญชาระดับนครบาล ได้สั่งการให้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้แล้ว ว่าเป็นความบกพร่องของใคร โดยต้องสอบสวนทั้งหมด ทั้งพนักงานสอบสวน และผู้บังคับบัญชาผู้กำกับการ เป็นการตรวจสอบทั้งระบบ
ส่วนคดีทำร้ายร่างกาย ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของการรวบรวมพยานหลักฐาน หากพยานหลักฐานครบ ก็สามารถสรุปสํานวนส่งฟ้องได้เลย โดยต้องทำภายในเวลา 30 วัน หลังจากเกิดเหตุจะทำให้เร็วที่สุด
ขณะที่พนักงานสอบสวนที่ทำคดี ในข้อหาเมาแล้วขับเมื่อปี 65 ซึ่งพบว่าขณะนี้ มียศพันตำรวจตรี อยู่ที่ สน.นางเลิ้ง คือ พ.ต.อ.ศิวานนท์ สงนุ้ย สว.(สอบสวน) สน.นางเลิ้ง เปิดเผยว่า วันที่ตำรวจจราจรกลาง นำตัว น.ส.มนธ์สินี มาให้ตนทำบันทึกจับกุม คือวันที่ 17 สิงหาคม 65 ตนได้อธิบายถึงขั้นตอนและข้อหาที่จะดำเนินคดี แต่ผู้ต้องหาปฏิเสธว่าไม่ได้เมา โดยบอกว่าปริมาณแอลกอฮอล์ขึ้นสูง เพราะเครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ปนเปื้อนกับแอลกอฮอล์ที่ฉีดเพื่อฆ่าเชื้อ ซึ่งตนก็ได้เอาแอลกอฮอล์ของผู้ต้องหา ที่บอกว่าใช้ฉีดใส่เครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ส่งไปตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อความเป็นธรรม และคืนนั้นก็อนุญาตให้ประกันตัว เพราะผู้ต้องหาต่อสู้คดี
โดยในใบสัญญาประกันได้ระบุไว้แนบท้าย ผู้ต้องหาจะต้องมาพบกับพนักงานสอบสวน ก็คือตนเองที่ สน.ประเวศ วันที่ 19 สิงหาคม 65 เวลา 8.30 น. เพื่อตนจะได้นำตัวผู้ต้องหาไปผัดฟ้องฝากขังตามขั้นตอนของกฎหมาย ในกรณีที่ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ ทั้งนี้จากการสังเกต โดยส่วนตัวตนเห็นว่าผู้ต้องหามีอาการเหมือนกับคนเมาสุรา
แต่วันที่ 19 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันนัด ผู้ต้องหาไม่ได้มาพบกับตน ทำให้ตนไม่สามารถนำผู้ต้องหาไปผัดฟ้องที่ศาลจังหวัดพระโขนงได้ และตนก็ไม่ได้ติดต่อกับผู้ต้องหาอีก เนื่องจากต้องรวบรวมหลักฐานทางคดี และรอผลการตรวจแอลกอฮอล์ที่ผู้ต้องหาบอกว่าใช้ฉีด ใส่เครื่องวัดปริมาณแอลกอฮอล์ จนทำให้ค่าแอลกอฮอล์ขึ้นสูง จากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
โดยวันที่ 14 พฤศจิกายน ตนได้ทำหนังสือไปที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อทวงถามถึงผลการตรวจแอลกอฮอล์ของกลางที่ส่งไป และหลังจากนั้นประมาณ 3 สัปดาห์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงส่งผลการตรวจแอลกอฮฮล์ที่ผู้ต้องหาใช้ มาให้กับตน จนต้นเดือนมกราคมปี 66 ตนได้สรุปสำนวนเรียบร้อย แต่ช่วงกลางเดือนมกราคม ตนติดภารกิจอบรม จึงยังไม่ได้ส่งฟ้องผู้ต้องหา จนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ ตนถูกคำสั่งย้ายให้ไปปฏิบัติราชการที่อื่น ทำให้สำนวนจึงยังคงอยู่ที่ สน.ประเวศ แต่ตนก็ได้มอบสำนวน จึงทำให้ไม่ได้ส่งฟ้องผู้ต้องหา แต่ก็ได้ส่งสำนวนให้กับทางโรงพัก เพื่อให้ผู้บังคับบัญชามอบหมายให้พนักงานสอบสวนรายอื่น รับช่วงต่อตามขั้นตอนแล้ว
...
จนกระทั่งมาทราบข่าวว่าจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีการส่งฟ้องผู้ต้องหารายนี้ ทั้งที่ตนทำสำนวนเสร็จแล้ว ยอมรับว่าตกใจ โดยหลังจากนี้ตนจะต้องไปให้ข้อมูลกับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในคดีนี้เช่นกัน
ทั้งนี้ ตนขอชี้แจงถึงประเด็นหลังผู้ต้องหาได้มาออกรายการโหนกระแส และบอกว่า ตนได้โทรศัพท์ไปหา หลังจากที่ผู้ต้องหาถูกจับผ่านไป 3 สัปดาห์และบอกว่าไม่ต้องมาพบตำรวจแล้ว เรื่องมันจบแล้ว ขอยืนยันว่าตนไม่เคยโทรศัพท์ไปบอกผู้ต้องหาอย่างที่ผู้ต้องหาให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด.