ศาลอาญาสั่งจำคุก "บรรยิน ตั้งภากรณ์" โอนหุ้น "เสี่ยชูวงษ์" 228 ล้านบาท เข้ากระเป๋า เข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงิน สั่งจำคุก 20 ปี ยกฟ้อง "แม่-น้องชาย-ป้อนข้าว อดีตโบรกเกอร์สาว"
เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 29 เม.ย.ที่ผ่านมา ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีดำ ฟ 48 /2565 ที่พนักงานอัยการสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นโจทก์ฟ้อง นายบรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมช.พาณิชย์ และอดีต สส.นครสวรรค์ จำเลยที่ 1 น.ส.ศรีธรา หรือ เพ็ญนิชชา พรหมา จำเลยที่ 2 (มารดาของ น.ส.อุรชา) และนายประวีร์ วัชรประยงค์ยุติ หรือนายชัยพรรณ วชิรกุลฑล จำเลยที่ 3 (น้องชายของ น.ส.อุรชา) ฐานความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
คดีนี้อัยการโจทก์ฟ้องว่า นายบรรยิน จำเลยที่ 1 และ น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล หรือป้อนข้าว อดีตโบรกเกอร์สาวคนสนิท จำเลยที่ 2 ในคดี ฟ.33/2565 ของศาลนี้ ให้การรับสารภาพสมคบกันและร่วมกันปลอมเอกสารจำนำหุ้นของ นายชูวงษ์ แซ่ตั้ง (เสี่ยจืด) นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ที่ได้ลงลายมือชื่อไว้เพื่อจำนำหุ้นกับบริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) โดยแก้ไขสาระสำคัญจากการจำนำหุ้น เป็นการโอนหุ้นให้กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นมารดาของ น.ส.อุรชา โดยไม่มีค่าตอบแทน เพื่อร่วมกันลักเอาหุ้นนั้นไปเป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยทุจริต รวม 510,000 หุ้น มูลค่า 35,050,000 บาท และ นายบรรยิน จำเลยที่ 1 ร่วมกับ น.ส.กัญฐณา ศิวาธนพล หรือน้ำตาล อดีตสาวพริตตี้ จำเลยที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ฟ.33/2565 ของศาลนี้ ซึ่งให้การรับสารภาพว่า ปลอมเอกสารจำนำหุ้นอันเป็นเอกสารสิทธิ ที่ นายชูวงษ์ แซ่ตั้ง ลงลายมือชื่อไว้ โดยแก้ไขสาระสำคัญจากการจำนำหุ้น เป็นการโอนหุ้นบริษัทพลังบริสุทธิ์ (อีเอ EA ) ของ นายชูวงษ์ ไปให้กับ น.ส.กัญฐณา จำนวน 9,500,000 หุ้น คิดเป็นเงิน 228,000,000 บาท แล้วมีการขายหุ้นแล้วโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขาเซ็นทรัลปิ่นเกล้า 2 ชื่อบัญชี น.ส.กัญฐณา ศิวาธนพล รวม 3 ครั้ง เป็นเงิน 28,000,000 บาท การกระทำของ น.ส.อุรชา และ น.ส.กัญฐณา ดังกล่าว เป็นความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม ซึ่งศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำพิพากษาแล้วปรากฎตามคดีอาญาหมายเลขแดง ที่ อ.636/2563, อ.637/2563 และ อ.638/2563 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ อันเป็นความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการปลอมเอกสารสิทธิ บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือหนังสือเดินทางตามประมวลกฎหมายอาญา อันมีลักษณะเป็นปกติธุระ หรือเพื่อการค้าตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (14) จำเลยทั้งสามกับพวก ร่วมกันกระทำความผิดฐานฟอกเงิน โดยแบ่งหน้าที่กันกระทำความผิด โดยจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 ถอนเงิน โอนเงิน อันเป็นการโอนหรือรับทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด เปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับกระทำความผิด เพื่อซุกซ่อนหรือกระทำด้วยประการใดๆ เพื่อเป็นการปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สิน อำพรางลักษณะที่แท้จริงการได้มาครอบครองหรือใช้ทรัพย์สินโดยรู้ในขณะที่ได้มา หรือครอบครองหรือใช้ทรัพย์สินนั้นว่า เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐานอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ขอให้นับโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญา เหตุเกิดที่แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง เขตบางกอกน้อย กทม. และอื่นๆ
...
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ แต่ นายบรรยิน จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลย ในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ 636/2563 หมายเลขแดงที่ อ.637/2563 และหมายเลขดำที่ อ.638/2563 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เบิกตัว นายบรรยิน จำเลยที่ 1 มาจากเรือนจำ ส่วนจำเลยที่ 2,3 ได้ประกันตัว เดินทางมาฟังคำพิพากษา ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า จำเลยที่ 1 น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล และ น.ส.กัญฐณา ศิวาธนพล ร่วมกันปลอมเอกสารเพื่อโอนหุ้นของ นายชูวงษ์ แซ่ตั้ง และนำมาสู่การเสียชีวิตของ นายชูวงษ์ ในคดีความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการปลอมเอกสาร จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ และในคดีการเสียชีวิตของ นายชูวงษ์ จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องที่ศาลอาญาพระโขนง ซึ่งทั้งสองคดีศาลได้มีคำพิพากษาแล้ว
ซึ่งคดีนี้ โจทก์มีเจ้าหน้าที่ ปปง. พนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่ธนาคาร เบิกความสรุปได้ว่า หลังจากจำเลยที่ 1 น.ส.อุรชา และ น.ส.กัญฐณา ร่วมกันปลอมเอกสารเพื่อโอนหุ้นของ นายชูวงษ์ และนำมาสู่การเสียชีวิตของ นายชูวงษ์ ในคดีความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการปลอมเอกสารแล้ว จากการสืบสวนเส้นทางการเงินพบว่า มีการโอนหุ้นเป็น 2 กลุ่ม จำเลยที่ 1 กับ น.ส.อุรชา ร่วมกันปลอมเอกสารแล้วโอนหุ้นให้กับจำเลยที่ 2 และขายหุ้นทั้งหมดภายในระยะเวลา 40 วัน จากนั้นโอนเงินที่ได้ไปยังบัญชีธนาคารกสิกรไทยของจำเลยที่ 2 รวม 6 ครั้ง เป็นเงิน 33,000,000 บาท แล้วเบิกถอนเงินสดจากบัญชีธนาคารดังกล่าวหลายครั้ง รวมถึงเบิกถอนด้วยเชียร์เช็คแล้วนำไปชำระค่าอสังหาริมทรัพย์ โดยไปยังบัญชีบัญชีธนาคารของจำเลยที่ 2 ซึ่งเปิดขึ้นในวันเดียวกันกับที่รับโอน หรือโอนเงินไปยังบัญชีธนาคารของตนเองที่เปิดขึ้นใหม่ และปรากฏข้อเท็จจริงตามทางการสืบสวนว่า จำเลยที่ 1 มีส่วนเกี่ยวข้องโดยใช้โทรศัพท์ติดต่อกับ น.ส.อุรชา จำเลยที่ 2 บ่อยครั้ง รวมถึงในวันที่มีการทำธุรกรรมแต่ละรายการ จำเลยที่ 1 มีการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่พื้นที่เดียวกับจำเลยที่ 2 และ น.ส.อุรชา นอกจากนี้จากตรวจเปรียบเทียบสารพันธุกรรมพบว่า จำเลยที่ 1 กับ น.ส.อุรชา มีบุตรด้วยกัน และ น.ส.อุรชา ได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด และ น.ส.อุรชา ยังซื้อรถยนต์ยี่ห้อปอร์เช่ โดยไม่จดแจ้งชื่อผู้ครอบครองมาเป็นชื่อของตน มีเจตนาที่จะปกปิดอำพราง ต่อมารถยนต์คันดังกล่าว ถูก ปปง.มีคำสั่งอายัดไว้ก่อน
จากการตรวจสอบก็พบเส้นผมของจำเลยที่ 1 อยู่บนรถยนต์คันดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมใช้ประโยชน์รถยนต์ ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการนำเงินที่ได้จากการกระทำความผิดมาเปลี่ยนแปลงสภาพ ทั้งนี้จำเลยที่ 1 มีความสัมพันธ์กับ น.ส.อุรชา มาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2558 ก่อนที่จะเกิดเหตุในคดีความผิด จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของจำเลยที่ 2 และ 3 พบว่ามีความเชื่อมโยงกัน กลุ่มที่ 2 น.ส.กัญฐณา รับโอนหุ้นมายังบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ที่เปิดไว้กับบริษัทอาร์เอสบี จำกัด ซึ่งบัญชีซื้อขายผูกติดกับบัญชีธนาคารกรุงเทพ เงินที่ได้จากการขายหุ้นจำนวน 98,000,000 บาทเศษ ถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารดังกล่าว และมีการซื้อขายหุ้นกันในตลาดหลักทรัพย์ โอนเงิน และเบิกถอนเงินสด ซึ่งจากการสืบสวนพบว่า ผู้ที่เป็นตัวการหลักในการทำธุรกรรม คือ จำเลยที่ 1 มีการเดินทางไปธนาคารเพื่อถอนเงินสดด้วยกัน
เห็นว่าการที่จำเลยที่ 1 ร่วมกับ น.ส.อุรชา และ น.ส.กัญฐณา ปลอมเอกสารสิทธิในการโอนหุ้นของ นายชูวงษ์ เป็นการกระทำเพื่อมุ่งให้ได้รับประโยชน์ในมูลค่าของหุ้น นายชูวงษ์ ในส่วนวิธีการโอนหุ้น การขายหุ้น การโอนเงินและเบิกถอนเงินที่ได้จากการขายหุ้นไปซื้อทรัพย์สินต่างๆ แม้ข้อเท็จจริงที่ได้ความตามเอกสารไม่ปรากฏว่า มีชื่อจำเลยที่ 1 เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่พฤติการณ์และความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยที่ 1 น.ส.อุรชา และ น.ส.กัญฐณา บ่งชี้ว่าเป็นการวางแผนร่วมกันมาตั้งแต่ต้น โดยแบ่งหน้าที่กันทำเพื่อประโยชน์ร่วมกันของจำเลยที่ 1 น.ส.อุรชา และ น.ส.กัญฐณา ที่จำเลยที่ 1 นำสืบว่า ไม่ได้รับประโยชน์จากการทำธุรกรรมหรือการโอนหุ้นของ น.ส.อุรชา และ น.ส.กัญฐณา จึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 1 นำสืบว่า ไม่มีการปลอมเอกสารสิทธิและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปลอมเอกสารสิทธิในการโอนหุ้น ไม่มีความสัมพันธ์กับ น.ส.อุรชา และ น.ส.กัญฐณา เป็นการนำสืบโต้แย้งคำพิพากษาของศาลอาญากรุงเทพใต้ ซึ่งพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับ น.ส.อุรชา และ น.ส.กัญฐณา ปลอมเอกสารสิทธิในการโอนหุ้นของ นายชูวงษ์ แม้ว่าคำพิพากษาจะยังไม่ถึงที่สุด โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ แต่ถือได้ว่าผลของคำพิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้มีน้ำหนักที่ฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับ น.ส.อุรชา และ น.ส.กัญฐณา ปลอมเอกสารสิทธิเกี่ยวกับการโอนหุ้นของ นายชูวงษ์ พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 จึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงรับฟ้งได้ โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับ น.ส.อุรชา และ น.ส.กัญฐณา กระทำความผิดตามฟ้อง
...
ในส่วนของจำเลยที่ 2 และ 3 นั้นเห็นว่า จากพยานหลักฐานโจทก์ไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 2 และ 3 มีส่วนเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 และ น.ส.อุรชา กระทำความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิเพื่อประโยชน์ในการโอนหุ้นของ นายชูวงษ์ ขายหุ้น รับโอนเงิน ถอนเงิน และซื้อบ้าน ที่ดินอย่างไร ข้อเท็จจริงรับฟังได้เพียงว่า จำเลยที่ 2 รับโอนหุ้น ขายหุ้นของ นายชูวงษ์ รับโอนเงินจากการขายหุ้น โอนเงิน ถอนเงิน นำเงินมาซื้อบ้านและที่ดิน และจำเลยที่ 3 รับโอนเงินจากจำเลยที่ 2 และถอนเงินโดยการจัดการของ น.ส.อุรชา ดังนั้นการที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นมารดาของ น.ส.อุรชา และจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 2 และน้องชายของ น.ส.อุรชา ถือได้ว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน และจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ยอมรับว่า รับดำเนินการเกี่ยวกับการทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ ตามคำสั่งของ น.ส.อุรชา และโดยการจัดการของ น.ส.อุรชา ประกอบกับโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 2 และ 3 รู้หรือมีเหตุอันควรรู้ว่าเงินที่ได้จากการขายหุ้นดังกล่าว เป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดมูลฐาน หรือจากกการสนับสนุนหรือช่วยเหลือการกระทำที่เป็นความผิดมูลฐาน อันเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตามฟ้อง กรณีจึงยังมีเหตุอันควรเชื่อว่า จำเลยที่ 2 และ 3 อาจรับดำเนินการให้ น.ส.อุรชา โดยไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังมีเหตุสงสัยตามสมควรว่า จำเลยที่ 2 และ 3 รู้ว่าหุ้นและเงินที่ได้จากการขายหุ้น เงินที่รับโอนและโอนไปยังบัญชีธนาคารอื่น เป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 2 และ 3 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง
พิพากษาว่า นายบรรยิน จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5 (1)(2)(3), 60 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตาม ป.อาญา มาตรา 91 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 กระทงละ 2 ปี รวม 27 กระทง เป็นจำคุก 54 ปี เมื่อรวมโทษจำคุกแล้ว ให้จำคุก นายบรรยิน จำเลยที่ 1 มีกำหนด 20 ปี และให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดง ที่ อ.636/2563 หมายเลขแดง ที่ อ.637/2563 และหมายเลขดำ ที่ อ.638/2563 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3.
...