"ทนายตั้ม" ยื่น ก.ร.ตร. สอบวินัย "บิ๊กต่อ" และตำรวจรายอื่นเอี่ยวเส้นเงินเว็บพนัน แย้มเปิดตัวพยานสำคัญให้ปากคำสัปดาห์นี้ ยืนยันไม่มีเซฟเฮาส์-โต้ข่าวเปิดซุก "ดาบโจ" ด้าน "พล.ต.ท.เรวัช" ลั่นใครผิดว่าตามผิด-ยศ "พล.ต.อ."ก็ไม่เว้น ย้ำไม่หนักใจ-ทำตามพยานหลักฐาน ยันงานนี้ไม่มีมวยล้มต้มคนดู
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 3 เม.ย. 67 ที่สำนักงานจเรตำรวจ (กองบินตำรวจ) ถ.รามอินทรา เขตบางเขน กทม. นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อ พล.ต.ท.สรศักดิ์ เย็นเปรม ประธานกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) เพื่อให้ตรวจสอบบิ๊กตำรวจ
โดย ทนายตั้ม เปิดเผยว่า วันนี้ตนมายื่นเรื่องให้กับ พล.ต.ท.สรศักดิ์ เย็นเปรม ประธาน ก.ร.ตร. เนื่องจากกรณีที่ก่อนหน้านี้ตนได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. พร้อมภรรยา และบัญชีม้า 2 ราย รวมทั้งหมด 4 ราย นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของข้าราชการตำรวจรายอื่นๆ ที่มีเส้นทางการเงินจากเว็บพนันโอนไปถึง อีกทั้งในวันนี้ตนจะคุยเรื่องการทุจริตรับส่วยของเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย ที่มีการไปเก็บมาจากประชาชน และจะดูว่าคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ จะสามารถช่วยจัดการอะไรได้บ้าง แต่ทราบว่าขอบเขตของท่านคือดูในเรื่องการร้องเรียนข้าราชการตำรวจ ที่กระทำผิดวินัย
ทนายตั้ม กล่าวต่อว่า ตนทราบเรื่องที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. หรือบิ๊กโจ๊ก ถูกออกหมายจับแล้ว และวานนี้ท่านก็ไปมอบตัวเรียบร้อย อย่างไรก็ให้เป็นไปตามกฎหมาย ส่วนหลังจากนี้อำนาจเป็นของพนักงานสอบสวนว่า จะส่งให้ทาง ป.ป.ช.หรือรับทำไว้เองหรือไม่ตนยังไม่ทราบ ทั้งนี้ที่ผ่านมาตนได้มีการไปร้องเรียนในหลายที่ ก็จะพยายามไปให้การให้ข้อมูลให้เร็วที่สุด ซึ่งมีที่ บก.ปปป.ที่ตนไปให้การแล้ว แต่ในส่วนของ สน.เตาปูน ภายในสัปดาห์นี้ ตนจะเดินทางไปยื่นคำให้การ และยื่นเอกสารเส้นทางการเงินพร้อมกับตัวพยาน แต่ขอปิดไว้ก่อนว่าพยานรายดังกล่าวเป็นใคร เพราะว่า พยานรายนี้อยู่ฝั่งตรงข้าม การเปิดชื่อหรือตัวตน เขาอาจได้รับอันตราย
...
ส่วนกรณีที่มีบุคคลมากล่าวพาดพิงว่า ตนเปิดเซฟเฮาส์ให้ นายธนพล หรือ ดาบโจ หรือ "นัท" ซึ่งเป็นหนึ่งในบัญชีม้าเครือข่ายเว็บพนันของ น.ส.พิมพ์วิไล มาซ่อนตัวนั้น ยืนยันว่านายธนพลมีตัวตนอยู่จริง แต่ตนไม่เคยเอาใครไปเก็บไว้ในเซฟเฮาส์ และตนไม่มีเซฟเฮาส์ อีกทั้งตนได้ข้อมูลมาตั้งแต่เดือน ต.ค.2566 การจะไปเปิดเผยใครหรือเรื่องอะไร ก็ต้องดูเรื่องความปลอดภัย เพราะว่าเขาเสียสละบอกความจริง อาจถูกสั่งเก็บได้ แล้วมันจะไม่มีใครกล้าเอาความจริงมาบอก และการจะดำเนินคดีเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงนั้น จะต้องมีคนข้างในพร้อมพลีชีพ แม้ตัวเองจะกระทำผิดแต่กลับเนื้อกลับตัวมาให้การว่าเส้นเงินจากบัญชีเว็บพนันไปถึง "รองฟาง" และ "ดาบยาว" ถ้าไม่มีคนในมาให้ข้อมูล จะเอาหลักฐานอะไรไปดำเนินการกับเครือข่ายเหล่านี้ และไม่ว่าเขาจะมีอะไรโกรธเคืองกันหรือไม่ แต่ข้อมูลมีประโยชน์กับประเทศชาติ ส่วนถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะออกหมายเรียกแก่นายธนพล ตนจะประสานให้เขาไปให้การก่อนที่จะมีการออกหมายเรียก
ทนายตั้ม เปิดเผยต่อว่า บุคคลที่ออกมาเปิดเผยเรื่องเสียงสนทนานั้น เจ้าตัวเหมือนไม่รู้จักคนในคลิป คล้ายว่าได้รับคลิปต่อมาอีกทอด แล้วก็ไม่ใช่คนที่ชื่อธนพลอีกด้วย เป็นการไปหลอกนักข่าว ทั้งยังหลอกในเรื่องมีการนำตัวนายธนพลไปเก็บไว้ที่เซฟเฮาส์ของตน ซึ่งท้ายสุดไม่มีอะไรเลย และตนรู้แค่ว่าบุคคลที่ออกมาเปิดเผยกับสื่อมวลชนนั้น เป็นคนสนิทของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. มีกิจกรรมการยิงปืนด้วยกัน อีกทั้งบัญชีม้าของนายณัฐพงศ์ก็ยังมีการโอนเข้าบัญชีนายคนนี้อีกด้วย (นายธนกฤต สถิจชวา หรือเสี่ยตี๋) นอกจากนี้ เสียงคลิปสนทนาที่มีการเปิดเผยนั้น ตนไม่ทราบว่าเป็นของใคร แต่วันนี้มีคนนำออกมาเผยแพร่ ความปลอดภัยในชีวิตของคนในคลิปเสียงก็คงไม่เหลือ ถ้าไม่มีเขาคนนี้ ตนจะดำเนินคดีต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจคอมมานโด และตำรวจไซเบอร์ได้อย่างไร พอเขาถูกเปิดตัวแบบนี้ตนก็ต้องมาคิดด้วยว่าหลังจากนี้จะทำอย่างไรต่อไป
ต่อมาเวลา 11.10 น. พล.ต.ท.สรศักดิ์ เย็นเปรม ประธานกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) พร้อมด้วยคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) อีก 4 ราย ประกอบด้วย 1.พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร อดีต ผบช.ปส. 2.พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน อดีตรอง ผบช.น. 3.นางสมศรี หาญอนันทสุข กรรมการที่ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ และ 4.นายสุนทร พยัคฆ์ เลขาธิการสภาทนายความ ร่วมกันรับมอบเอกสารจากทนายตั้ม
โดย พล.ต.ท.สรศักดิ์ เย็นเปรม ประธานกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) เปิดเผยว่า ชุดคณะกรรมการในวันนี้ เป็นบุคคลที่ผ่านการคัดเลือกจากผู้ตรวจการแผ่นดิน จากนี้เราจะไปดูว่าเอกสารภายในซองมีเรื่องอะไรบ้าง และจะร่วมกันพิจารณา ถือว่าเป็นขั้นตอนการยื่นและรับเอกสารเพื่อไปสู่กระบวนการพิจารณาเรื่องร้องเรียน ส่วนกรอบระยะเวลาในการดำเนินงานนั้น จะต้องเข้าสู่กระบวนการธุรการก่อน จากนั้นจึงจะเข้าสู่ที่ประชุมในการใช้อำนาจไต่สวนว่า จะมีอำนาจอย่างไร ตามกฎหมายคณะกรรมการอาจจะดำเนินการไต่สวนเอง หรือมอบหมายให้จเรตำรวจแสวงหาข้อมูลเบื้องต้น แต่ในกรณีนี้จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคณะกรรมการว่า หากรับเรื่องเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วจะใช้อำนาจอย่างไร ก็จะต้องไปดูรายละเอียดภายในเอกสารก่อน แล้วจึงจะมีการร่วมกันพิจารณา
...
ด้าน พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร คณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) กล่าวว่า การที่ทนายตั้มมายื่นเรื่องร้องเรียนกับตำรวจ เพื่อขอให้ลงโทษทางวินัยกับตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บพนันและการฟอกเงินฟอก ยืนยันว่าเราจะให้ความเป็นธรรม ขอให้เชื่อว่าคณะกรรมการชุดนี้ได้รับการคัดเลือกเป็นอย่างดี ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้ไม่ได้แต่งตั้งโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) แต่ได้รับการคัดเลือกมา
"ดังนั้นการทำงานจะอยู่นอกเหนืออำนาจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งยังไม่ได้ขึ้นตรงกับหน่วยงานใด หากพยานหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงใคร ต่อให้ยศเป็นระดับพลตำรวจเอกก็จะดำเนินคดีด้านวินัย ใครผิดก็ต้องว่าไปตามผิด ใครถูกก็ต้องว่าไปตามถูก และถึงแม้ว่าวันนี้ทนายตั้มจะไม่ได้นำเอกสารมาร้องเรียนกับคณะกรรมการ แต่หากคณะกรรมการทราบเรื่องด้วยตัวเอง ก็จะนำเรื่องเข้าที่ประชุมเพื่อเข้าสู่การพิจารณาทันที ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่กระทบความเชื่อมั่น ต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติในวงกว้าง และกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน ก็จะต้องมีการดำเนินการทันที พร้อมย้ำว่าไม่เคยหนักใจที่จะต้องทำงานนี้ ทุกอย่างว่ากันตามพยานหลักฐาน ไม่มีมวยล้มต้มคนดู ต่อให้เป็นระดับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) หากพบหลักฐานความผิดก็จะดำเนินการให้หมด
ส่วนจะมีการเรียกทั้งสองบิ๊กตำรวจเข้ามาสอบถามหรือไม่นั้น พล.ต.ท.เรวัช ระบุว่า หากพยานหลักฐานเชื่อมโยงถึงใคร ก็จะต้องเรียกมาสอบถามทั้งหมด และหากข้อเท็จจริงปรากฏก็จะต้องได้รับการลงโทษทางวินัยเช่นเดียวกัน ซึ่งการพิจารณาเรื่องโทษทางวินัย หนักสุดคือพิจารณาไล่ออก
ขณะที่ พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน อดีตรอง ผบช.น. ได้สอบถามกับทางทนายตั้มว่า เอกสารที่นำมายื่นในวันนี้ใช้เอกสารเดียวกับที่นำไปยื่นกับ บก.ปปป. หรือไม่ พร้อมกับถามทนายตั้มว่า จะเข้ามาให้ปากคำกับคณะกรรมการฯอย่างเร็วที่สุดในวันที่เท่าไร ซึ่งทาง ทนายตั้ม ตอบกลับว่า ภายในอาทิตย์หน้าจะมาให้การ พร้อมกับนำตัวพยานมาด้วย
...
ส่วนเรื่องการลงโทษทางวินัยนั้น พล.ต.ท.อำนวย ระบุว่า จะต้องไปตรวจสอบดูว่าวินัยร้ายแรงหรือไม่ ถ้าหากวินัยร้ายแรงก็จะต้องมีการพิจารณาปลดออกหรือไล่ออก แต่ถ้าวินัยไม่ร้ายแรงก็จะต้องมาพิจารณาดูอีกที ส่วนในกรณีหากศาลยกฟ้องในภายหลัง ต้องเรียนว่าในบางเรื่องอาจผิดวินัยแต่ทางอาญาไม่ผิดก็เป็นไปได้ แต่จากการที่เสื่อมเสียเกียรติยศการเป็นตำรวจก็จะต้องไปพิจารณาในรายละเอียดประกอบด้วย ทั้งนี้ คณะกรรมการได้เตรียมคำถามไว้สอบถามทนายตั้มแล้ว แต่ทราบว่าทนายตั้มติดธุระในช่วงกลางวัน คาดว่าภายในสัปดาห์หน้าจะเริ่มการสอบปากคำทนายตั้มได้
พล.ต.ท.อำนวย ระบุอีกว่า กรณีการกลับเข้ามารับตำแหน่งหรือเป็นแคนดิเดต ผบ.ตร.นั้น วินัยบางเรื่อง การพิจารณาของ ก.ร.ตร. อาจจะพิจารณาถึงวินัย และการกระทำความผิดวินัยบางเรื่องนั้น ถ้าทำให้เสื่อมเสียเกียรติยศและศักดิ์ศรีของตำรวจ อาจจะเป็นข้อในการพิจารณาการแต่งตั้ง เลื่อนตำแหน่งในอนาคตได้ ยืนยันว่าคณะกรรมการชุดนี้มีอิสระในการตรวจสอบข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตาม หากตรวจสอบแล้วมีการพิจารณาให้ออกไล่ออกหรือปลดออก ตำรวจต้องไปยื่นอุทธรณ์ที่คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ ก.พท.ตร. ส่วนคดีทางอาญานั้น เป็นหน้าที่ที่ต้องพิสูจน์ตามกระบวนการของกฎหมาย แต่หากการพิจารณาของ ก.ร.ตร. พบว่า มีคดีความผิดตามอาญา ก็จะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณาต่อไป.