"กรมสอบสวนคดีพิเศษ" ส่ง 'ป.ป.ช.' ดูคำร้องโอนคดีฟอกเงิน "เว็บพนัน BNK Master" เหตุมีข้อโต้แย้งระหว่าง "ผู้ร้อง-พนักงานสอบสวน"

เมื่อวันที่ 30 มี.ค. 67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ "ดีเอสไอ" ได้มีเอกสารชี้แจง กรณีเมื่อวันที่ 19 ก.พ. ได้มีผู้ร้องมายื่นเรื่องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ขอให้พิจารณาโอนคดีอาญาของ สน.เตาปูน คดีอาญาที่ 391/2566 ฐานฟอกเงิน สมคบกันฟอกเงิน กรณีเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ BNK Master มาดำเนินการสืบสวนและสอบสวนตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 เนื่องจากเห็นว่ามีรายละเอียดของลักษณะการกระทำความผิดเป็นไปตามประกาศคณะกรรมการคดีพิเศษ (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2565 เรื่องกำหนดรายละเอียดของลักษณะของการกระทำความผิด ที่เป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ข้อ 4 ประกอบบัญชีท้ายประกาศฯ ข้อ 7 ซึ่งกำหนดว่าคดีความผิดที่มีบทกำหนดโทษตามมาตรา 60 และมาตรา 61 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่มีความผิดมูลฐานเป็นคดีพิเศษ ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ หรือคดีความผิดมูลฐานที่เป็นคดีอาญาอื่นที่มีมูลน่าเชื่อว่ามีทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ที่มีมูลค่าตั้งแต่สามร้อยล้านบาทขึ้นไป

โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับเรื่องไว้สืบสวน เป็นสำนวนสืบสวนที่ 37/2567 เพื่อพิจารณาว่าเข้าข่ายที่จะมีคำสั่งไว้ทำการสอบสวนเป็นคดีพิเศษได้หรือไม่ โดยสำนวนอยู่ในความรับผิดชอบของกองคดีฟอกเงินทางอาญา จากการสืบสวนมีการแสวงหาข้อเท็จจริงจากผู้ร้อง รวมทั้งการมีหนังสือสอบถามไปยังพนักงานสอบสวนคดีอาญาที่ 391/2566 ของ สน.เตาปูน ปรากฏข้อโต้แย้งเกี่ยวกับความเชื่อมโยงคดีอาญาดังกล่าว กับคดีอาญากรณีเว็บพนันออนไลน์มินนี่ ที่พนักงานสอบสวนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก่อนหน้านี้ และเนื่องจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 28 (2) ได้กำหนดหน้าที่และอำนาจในการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม และมาตรา 30 วรรคสอง กำหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจไต่สวนในคดีที่มีการกระทำ อันเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท และคดีที่มีความเกี่ยวข้องกันและความผิด เรื่องใดเรื่องหนึ่งที่จะต้องดำเนินการในคราวเดียวกันด้วย ซึ่งกรณีดังกล่าวกรมสอบสวนคดีพิเศษได้เคยมีหนังสือหารือไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. เกี่ยวกับแนวปฏิบัติตามมาตรา 30 วรรค 2 แล้ว โดยสำนักงาน ป.ป.ช.ได้มีหนังสือที่ ปช 0026/0089 ลงวันที่ 22 ต.ค. 2562 แจ้งว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติว่า คดีลักษณะใดเป็นคดีที่มีการกระทำความผิดเกี่ยวข้องกัน และความผิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่จะต้องดำเนินการในคราวเดียวกันนั้น

...

คณะกรรมการ ป.ป.ช.จะพิจารณาวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเป็นรายกรณีไป ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นประเด็นสำคัญเกี่ยวกับอำนาจการสืบสวนและสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ดังนั้น เมื่อกรมสอบสวนคดีพิเศษไม่มีข้อเท็จจริงในคดีอาญาหลัก ที่มีการกล่าวอ้างที่จะเป็นข้อมูลประกอบการวินิจฉัยและเมื่อพิจารณาประกอบหนังสือสำนักงาน ป.ป.ช.ข้างต้น คณะพนักงานสืบสวนจึงมีมติเสนออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้ส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 30 วรรคสอง ทั้งนี้ หากภายหลังคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว เห็นว่ามิใช่กรณีที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรมสอบสวนคดีพิเศษ จะพิจารณาดำเนินการตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติมต่อไป