ศาลจำคุกอ่วม อดีตพระอาจารย์คม 468 ปี เป็นเจ้าพนักงานทุจริตฯ ยักยอกเงินวัดป่าธรรมคีรี กว่า 300 ล้านบาท ส่วนพรรคพวกโดนลดหลั่นกันลงมา
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 20 มีนาคม 2567 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ศาลอ่านคำพิพากษา ในคดีที่พนักงานอัยการ ยื่นฟ้อง นายคม คงแก้ว หรือ พระอาจารย์คม อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าธรรมคีรี อายุ ขณะถูกจับ 39 ปี กับพวกรวม 9 คนเป็นจำเลยฐานเป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์และข้อหาอื่นๆ
อัยการฟ้องว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าอาวาสวัดวัดป่าธรรมคีรี จำเลยที่ 2, 4 และ 6-9 เป็นพระลูกวัด จำเลยที่ 3, 5 เป็นฆราวาส ร่วมกันยักยอกเงินและถ่ายเทเงินเข้าบัญชีต่างๆ โดยกระทำความผิดหลายกรรมรวมเงินสดและทรัพย์ ที่เสียหาย 1,454 รายการ เป็นเงิน 299,505,992 บาท
ศาลพิเคราะห์แล้ว พยานรับฟังได้ว่าเมื่อปี 2565-66 จำเลยที่ 2 เป็นประธานสงฆ์ สั่งการให้จำเลยที่ 1 เบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคารของวัดป่าธรรมคีรี และบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบัญชีสำหรับฝากเงินที่วัดได้รับบริจาค นำมาเก็บรวบรวมไว้โดยมิได้จัดทำบัญชีแจกแจงตามหน้าที่ที่กฎหมายบัญญัติไว้ แล้วนำเงินดังกล่าวไปฝากธนาคารชื่อจำเลยที่ 3 และบัญชีเงินฝากธนาคารบุคคลอื่นที่มีการขอให้เปิดบัญชีให้ไว้ โดยให้จำเลยที่ 3 มีอำนาจเบิกถอนเงินเพียงผู้เดียว รวม 76 ครั้ง และบางส่วนนำเก็บเป็นเงินสดไว้ในที่พักอาศัยจำเลย ที่ 3 แม้จำเลยที่ 1-3 ยกข้อต่อสู้ว่าเป็นเงินส่วนตัวของจำเลยที่ 2 แต่ข้ออ้างดังกล่าวปราศจากพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน ทั้งที่อยู่ในหน้าที่รู้เห็นของจำเลยที่ 1 และ 2 ฟังว่าจำเลยที่ 1 ยักยอกเงินไป
โดยมีจำเลยที่ 2, 3 เป็นผู้สนับสนุน ส่วนเงินสดและทรัพย์สินที่ตำรวจพบและยึดไว้เป็นของกลางภายในวัด พยานหลักฐาน ที่โจทก์ชี้ช่องมีน้ำหนักมั่นคงฟังยุติได้ว่าวันที่ 1 พ.ค.66 อันเป็นวันก่อนที่จำเลยที่ 1 ลาสิกขา
...
จำเลยที่ 4, 8 ร่วมกันขนย้ายทรัพย์สินของกลางดังกล่าวที่เก็บอยู่ในวัดถือว่าอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 เจ้าอาวาส ซึ่งจำเลยที่ 2 มิได้จัดทำรายการบัญชีแจกแจงทรัพย์สินไว้เช่นกัน นำออกไปซุกซ่อนไว้ตามสถานที่ต่างๆ ภายในวัด ตามที่จำเลยที่ 1, 2 สั่งการ แล้วจำเลยที่ 4, 8, 9 ช่วยกันขนย้ายทรัพย์สินดังกล่าวเปลี่ยนที่ซุกซ่อนหลายครั้งเพื่อหลบเลี่ยงมิให้คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินของวัดหรือเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นพบ
ทั้งนี้ทรัพย์สินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินภายในวัดได้มาจากการบริจาคของประชาชน ไม่มีการจัดทำรายการบัญชีทรัพย์สินแจกแจงให้ปรากฏชัดแจ้งว่าเป็นทรัพย์สินของจำเลยที่ 1, 2 ทั้งไม่มีหลักฐานมาสนับสนุน จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4-9 ไม่รู้ข้อเท็จจริงหรือสำคัญผิด พยานหลักฐานจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 147 (เจ้าพนักงานยักยอกเป็นบทเฉพาะ) พ.ร.ป.ป้องกันการทุจริตส่วนจำเลยที่ 2, 3, 4, 8 เป็นผู้สนับสนุน
จำเลยที่ 5, 6, 7, 9 มีความผิดตามป.อาญา มาตรา 352 (ยักยอกเป็นบททั่วไป)
คงให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ เบียดบังทรัพย์โดยทุจริต และลงโทษจำเลยที่ 2, 3 ฐานเป็นผู้สนับสนุน ให้จำคุกจำเลยที่ 1 กระทงละ 6 ปี รวม 78 กระทง คงจำคุก 468 ปี
จำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 4 ปี รวม 78 กระทง คงจำคุก 312 ปี จำคุกจำเลยที่ 3 กระทงละ 4 ปี รวม 77 กระทง คงจำคุก 308 ปี จำคุกจำเลยที่ 4, 8 คนละ 3 ปี 4 เดือน จำคุกจำเลยที่ 5, 6, 7, 9 คนละ 3 ปี ลดโทษให้คนละหนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 4, 8 คนละ 2 ปี 2 เดือน 20 วัน คงจำคุกจำเลยที่ 5, 6, 7, 9 คนละ 2 ปี
สำหรับจำเลยที่ 1, 2 และจำเลยที่ 3 เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วให้จำคุกคนละ 50 ปี ตามประมวลกฎหมาย ข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่ 4-9 ให้ยกฟ้อง จากนั้นจึงออกหมายขังส่งตัวไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ.