***แฟ้มภาพ***
อัยการสอบปากคำ "ลุงเปี๊ยก" ปม ถูกถุงดำคลุมหัว บังคับให้รับสารภาพเป็นคนฆ่า "ป้ากบ" เจ้าตัวอดเหล้าได้แล้ว ให้การเป็นประโยชน์ต่อคดีอย่างมาก จำได้หมด วันนั้นใครทำอะไร พร้อมชี้แจงไม่ใช่ผัวป้ากบ
เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2567 ที่สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติ นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานตรวจสอบทหรือกำกับการสอบสวน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย
พร้อมด้วย นายปรัชญา ทัพทอง อัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 5 รองหัวหน้าคณะทำงาน และคณะพนักงานสอบสวนดีเอสไอ เดินทางมาสอบปากคำ นายปัญญา หรือลุงเปี๊ยก คงแสนคำ ในคดีที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ในคดีฆาตกรรม นางบัวผัน ตันสุ หรือ ป้ากบ สาวโฮมเลสไร้บ้าน อายุ 47 ปี และเจ้าหน้าที่สถานีตำรวจภูธรอรัญประเทศ จ.สระแก้ว มีการดำเนินคดีกับนายปัญญา ในข้อหาฆ่า โดยตำรวจแจ้งว่านายปัญญาให้การรับสารภาพ ว่าเป็นคนลงมือฆ่าและกระทำด้วยความมึนเมา ต่อมามีการปรากฏภาพจากกล้องวงจรปิดที่สื่อมวลชนหามาได้จากจุดเกิดเหตุ ได้เปิดเผยความจริงว่า ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมนางบัวผัน เป็นกลุ่มเยาวชน 5 คน ซึ่งในจำนวนนี้มี 2 คนที่เป็นลูกตำรวจใน จ.สระแก้ว นั้น
นายวัชรินทร์ และคณะ ทำการสอบสวนปากคำนายปัญญาเสร็จสิ้น ใช้เวลาพักใหญ่แล้วเผยว่า เรื่องนี้ นายอำนาจ เจตน์เจริญรักษ์ อัยการสูงสุด ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบ หรือกำกับการสอบสวน โดยมีตนและคณะทำงานอัยการทำหน้าที่กำกับดูแลการสอบสวนของพนักงานสอบสวนดีเอสไอ การสอบสวนในวันนี้มีทั้งหมอและพยาบาล หรือมีพยานคนกลางอยู่ด้วย โดยการสอบสวนครั้งนี้เป็นครั้งแรกของคดีนี้ ที่มีอัยการเข้ามากำกับตรวจสอบการสอบสวน ซึ่งดีเอสไอเคยสอบ นายปัญญา หรือ ลุงเปี๊ยก ไปแล้วก่อนหน้านี้ 1 ครั้ง ซึ่งเรามาตรวจสำนวนแล้วก็ยังต้องมีการสอบสวนในบางประเด็นที่สงสัยเพิ่มเติม จากการสอบสวนพบว่าวันนี้ลุงเปี๊ยกให้การเป็นประโยชน์ต่อคดีอย่างมาก โดยมีการยืนยันถึงคนที่ได้กระทำต่อตนเองว่ามีใครบ้าง แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ โดยลุงเปี๊ยกกล้าชี้รูปถ่าย และกล้าให้การถึงว่าใครทำอะไร อย่างไร ในวันนั้น ซึ่งลุงเปี๊ยกในฐานะผู้เสียหายสามารถจดจำได้หมด ถือว่าเป็นคนที่มีสติ ให้การดีมากรู้เรื่องหมด
...
จากการสอบสวนวันนี้ ยังทราบว่าลุงเปี๊ยกเคยบวชเรียนมาถึง 7 พรรษา และตอนนี้อดเหล้าได้แล้ว ซึ่งทางคณะแพทย์จะรับรองว่าอาการดีขึ้น ก็เหมือนกับว่าจะหายจากอาการดังกล่าวแล้ว แต่ก็ยังต้องอยู่ในความคุ้มครองของทางโรงพยาบาลอีก 4 เดือน ถึงจะหมดโปรแกรมรักษา แต่ก็ถือว่าการให้การครั้งนี้จำเรื่องราวทั้งหมด
นอกจากนี้วันนี้ นายปัญญา ยังได้ยืนยันว่าตนเองไม่มีความสัมพันธ์กับป้ากบเหมือนที่ปรากฏเป็นข่าวว่าเป็นสามีภรรยากัน เพียงแต่ว่ามีแม่ค้าแถวนั้นเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสามีภรรยากัน เนื่องจากว่าเป็นบุคคลเร่ร่อนเหมือนกัน ซึ่งความจริงแล้วลุงเปี๊ยก มีบ้านของพี่ชายที่สามารถพักอาศัยได้อยู่ แต่ก็ไม่อยากอยู่ เพราะชอบเป็นอิสระ ส่วนป้ากบมีบ้านอยู่เหมือนกัน แต่ไม่อยู่ ก็ออกมาเร่ร่อน ซึ่งบางครั้งป้ากบชอบมายืนที่ศาลพระสยามเทวาธิราชจำลอง ลุงเปี๊ยกเป็นคนไปไล่ป้ากบ ก็เลยมีประเด็นทะเลาะถกเถียงกันบ้าง เลยทำให้คนมองว่ามีการทะเลาะเบาะแว้งกัน ซึ่งในบางครั้งเมื่อเหมือนเป็นคนเร่ร่อนที่ไม่อยากกลับบ้าน ก็นอนอยู่บริเวณนั้น ทั้งสองคนก็กินเหล้ากัน ก็เหมือนสนิทสนมกัน แต่ไม่มีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาเหมือนที่เป็นข่าวแต่อย่างใด
ซึ่งจากการสอบสวนปากคำในวันนี้ ลุงเปี๊ยก ได้ยืนยันแล้วว่าคนกระทำกับลุงเปี๊ยกมีใครบ้าง นอกจากนี้ลุงเปี๊ยกยังประสงค์ที่จะอยู่ในการคุ้มครองพยานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่ส่งเจ้าหน้าที่มาคุ้มครองพยานด้วย โดยหลังจากนี้หากออกจากโรงพยาบาลก็จะเข้าโปรแกรมคุ้มครองพยาน และหลังจากเสร็จเรื่องคดีทั้งหมดลุงเปี๊ยกมีความประสงค์ที่จะอยากกลับไปบวชต่อ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในประเด็นถูกถุงคลุมหัวผู้เสียหาย มีการทรมานแบบอื่นด้วยหรือไม่
นายวัชรินทร์ หัวหน้าคณะทำงานตรวจสอบหรือกำกับการสอบสวน กล่าวว่า ลุงเปี๊ยกให้การยืนยัน แต่ขณะนี้เรายังไม่อยากระบุว่าเป็นใคร แต่ลุงเปี๊ยกยืนยันว่ามีการใช้ถุงคลุมหัว และบังคับให้รับสารภาพ
ส่วนการทรมาน ก็คือใช้วิธีการขู่เข็ญบังคับโดยใช้อุปกรณ์บางอย่างในการขู่เข็ญบังคับ เปิดแอร์ให้เย็น และพาไปบังคับให้รับสารภาพทำแผนจริง
ทั้งนี้ คณะทำงานได้สอบสวนจนได้พยานหลักฐานที่ชัดเจน และได้ข้อมูลที่ชัดเจนมากๆ แล้ว สามารถใช้คำนี้ได้เลย ขั้นตอนต่อไปก็จะสอบพยานอย่างอื่น เป็นพวกพยานแวดล้อม และพยานที่เกี่ยวข้องกับคดี แล้วจึงจะไปพิจารณาในการแจ้งข้อหากับตำรวจที่กระทำความผิด
ซึ่งกรอบระยะเวลาคาดว่าจะภายในเดือน มี.ค. จะสอบพยานหลักฐานทุกอย่างให้เสร็จสิ้น และก็ช่วงปลายเดือน มี.ค. หากพยานหลักฐานที่สอบเสร็จสิ้นแล้ว จะดำเนินการเรียกผู้ต้องหาที่กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 มาแจ้งข้อหา ถ้าผลการสอบสวนหรือพยานหลักฐานเกี่ยวพันถึงใครก็จะถูกดำเนินคดีทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นตำรวจระดับไหนที่เกี่ยวข้องในการเข้ามากระทำความผิดก็ถูกดำเนินคดีทั้งหมด.