"บิ๊กโจ๊ก" จ่อลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช เป็นประธานในพิธีฌาปนกิจศพเหยื่อ "หมู่อาร์ม" ตำรวจคลั่ง ขณะที่เหยื่ออีกรายพ้นวิกฤติ ออกจากไอซียูแล้ว เผยผู้บังคับบัญชาสั่งเก็บปืนก่อนเกิดเหตุร้ายแค่ 1 เดือน เลยพกมีดพับแทน

จากกรณี ตำรวจคลั่ง ส.ต.อ.ชวนิล จินดามณีมาศ ผบ.หมู่(ป.) สภ.ชะอวด ภ.จว.นครศรีธรรมราช หรือ หมู่อาร์ม อายุ 29 ปี มีอาการคลุ้มคลั่งสติแตก ก่อเหตุใช้อาวุธมีดไล่แทงชาวบ้าน จนเป็นเหตุให้ น.ส.วิจิตตรา รักขนาม อายุ 51 ปี เสียชีวิต และ น.ส.ประภา แย้มเยื้อน อายุ 69 ปี ได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดเมื่อช่วงค่ำ (24 ก.พ. 2567) ขณะผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บกำลังขี่รถ จยย.บนถนน ผ่านหน้าโรงพัก และผ่านหน้า สนง.กศน.อำเภอชะอวด สร้างความสะเทือนใจให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก เพราะตำรวจเกิดคลุ้มคลั่งมาก่อคดีเสียเอง ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเย็นวานนี้ (26 ก.พ. 67) ที่วัดศาลาบางปู ตำบลปากพูน อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช สถานที่บำเพ็ญกุศลศพของนางสาววิจิตรา รักขนาม อายุ 51 ปี ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว มีชาวบ้านในตำบลปากพูนทยอยมาร่วมงานศพอย่างต่อเนื่อง โดยมี นางสาวสุมณฑา แย้มเยื้อน คู่รักที่อยู่กินฉันสามีภรรยากับผู้ตาย และครอบครัว คอยต้อนรับแขกที่มาร่วมงาน 

ขณะเดียวกัน นางสาวสุมณฑา ยังพร่ำบ่นถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับภาพถ่ายหน้าหีบศพด้วยความเสียใจ โดยบอกว่าในชีวิตบั้นปลายตั้งใจจะอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า หลังจากครองรักมาแล้วถึง 14 ปี และเตรียมที่จะเข้าจดทะเบียนสมรสในเร็วๆ นี้ กลับต้องมาสูญเสียอย่างคาดไม่ถึง และยังบอกด้วยว่าจะทำหน้าที่เรียกร้องความเป็นธรรมให้ดีที่สุด และจะทำอย่างเต็มที่

โดยสำนักงาน รอง ผบ.ตร.สั่งการประสานมาว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. หรือบิ๊กโจ๊ก จะเดินทางมาเป็นประธานในพิธีฌาปนกิจศพด้วยตัวเอง พร้อมทั้งแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสุดซึ้ง ขณะเดียวกันเธอยังบอกว่าขอเรียกร้องความเป็นธรรมเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด ขอเรียกร้องไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการขอให้ความช่วยเหลือในการบำเพ็ญกุศลศพของนางสาววิจิตรา เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายรายวันที่สูง และยังอยากขอร้องให้ครอบครัวพ่อแม่ของหมู่อาร์มมาเยี่ยมงานศพ มาเคารพศพ มาขออโหสิกรรมให้วิญญาณของนางสาววิจิตราเดินทางไปยังสัมปรายภพโดยไม่ต้องมีเรื่องติดค้าง หรือจะนำตัวผู้ต้องหามาขอขมาก็ได้ ยืนยันว่าจะไม่มีการเข้าทำร้าย หรือก่อให้เกิดความเสียหายใดๆ ขึ้น ทุกคนจะอยู่ในความสงบ

...

ขณะที่ นายสุวิทย์ แย้มเยื้อน พี่ชายของนางสาวประภา แย้มเยื้อ อายุ 69 ปี อีกหนึ่งเหยื่อที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากเหตุการณ์นี้ บอกว่า ล่าสุดถือว่าเป็นเรื่องที่ดีในระดับหนึ่ง น้องสาวได้ออกจากห้องไอซียูแล้ว แต่ยังพูดจาลำบาก ต้องเขียนหนังสือบนกระดาษ ถามถึงเหตุการณ์ ถามถึงการตั้งศพ แต่ญาติไม่ได้บอกอะไรมาก รอให้อาการดีขึ้นกว่านี้ค่อยแจ้งอีกที 

อยากเรียกร้องไปยัง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ดำเนินการเรื่องนี้อย่างเป็นธรรม และต้องเอาเรื่องกับตำรวจนายนี้ให้ถึงที่สุด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องร้ายแรง แม้กระทั่งตำรวจในโรงพักชะอวด เมื่อญาติผู้สูญเสียเข้าไปติดตามกลับได้รับความไม่เป็นมิตรกลับมา

ส่วนการดำเนินการกับ “หมู่อาร์ม” ในส่วนของทางระเบียบราชการ นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องได้อธิบายข้อมูลว่าจะเป็นไปตามระเบียบ ขณะนี้ผู้ต้องหารายนี้ต้องคำสั่งทางวินัยชั้นแรกแล้ว คือการลงนาม “สั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน” หลังจากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการสอบสวนข้อเท็จจริง และเมื่อได้สรุปข้อเท็จจริงแล้วจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาโทษทางวินัยให้เป็นไปตามระเบียบ โดยโทษสูงสุดทางวินัย สำหรับกรณีนี้เป็นไปตามข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่ปรากฏมีสถานเดียวคือ “ไล่ออกจากราชการ” กระบวนการทั้งหมดต้องเสร็จสิ้นใน 90 วันเท่านั้น โดยไม่ต้องรอคดีทางอาญาจะถึงที่สุดเมื่อไหร่ 

อย่างไรก็ตามก่อนหน้าประมาณ 1-2 เดือนที่ผ่านมา ผู้บังคับบัญชา สภ.ชะอวด ได้พบความผิดปกติบางอย่าง แล้วได้สั่งให้หมู่อาร์มนำอาวุธปืนมามอบให้ และห้ามพกพาอาวุธปืนโดยเด็ดขาด เป็นเหตุให้หมู่อาร์มไปพกพาอาวุธมีดจนเกิดเหตุการณ์สลดนี้ขึ้น.