ญาติสุดคับแค้นใจ พี่สาว ถูก “หมู่อาร์ม ผบ.หมู่ (ป.) สภ.ชะอวด” สติแตกใช้มีดไล่แทง ถามทำไมไม่คลั่งในโรงพัก จะได้ไม่ต้องมาฆ่าชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ ขณะที่ผลตรวจไม่พบสารเสพติด แต่มีประวัติป่วยจิตเวช ต้องกินยาตามแพทย์สั่ง ช่วงหลังลดยา อาการดีขึ้น
จากกรณีตำรวจคลั่ง ส.ต.อ.ชวนิล จินดามณีมาศ ผบ.หมู่ (ป.) สภ.ชะอวด ภ.จว.นครศรีธรรมราช มีอาการคลุ้มคลั่ง ใช้อาวุธมีดไล่แทงชาวบ้าน 2 ราย คือ น.ส.ประภา แย้มเยื้อน อายุ 69 ปี มีบาดแผลถูกแทงตามใบหน้าและแขนทั้ง 2 ข้าง เป็นแผลฉกรรจ์หลายแห่ง อาการสาหัส และ น.ส.วิจิตตรา รักขนาม อายุ 51 ปี มีบาดแผลถูกแทงตรงโหนกแก้มทั้ง 2 ข้าง แขนทั้ง 2 ข้าง และแผ่นหลังเกือบ 10 แผล เสียชีวิตขณะเจ้าหน้าที่นำส่ง รพ. ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่รวบรวมข้อมูลได้ความว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายและผู้บาดเจ็บได้เดินทางมาจากหาดใหญ่ มาร่วมทำบุญแห่ผ้าขึ้นธาตุที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช หลังจากนั้นได้เดินทางมาเยี่ยมญาติพี่น้องที่ชะอวด หลังจากนั้นได้ขับขี่รถจักรยานยนต์จากบ้านเพื่อไปเยี่ยมญาติอีกจุดหนึ่ง โดยกล้องวงจรปิดจับภาพได้ก่อน ตรงจุดก่อนที่จะถึงที่เกิดเหตุ เมื่อผ่านหน้าแฟลตตำรวจ ถูกหมู่อาร์ม หรือ ส.ต.อ.ชวนิล จินดามณีมาศ ถีบรถจักรยานยนต์จนล้มคว่ำแล้วเข้าชาร์จกระหน่ำแทง ท่ามกลางชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์จำนวนมาก หลังเกิดเหตุ บรรดาญาติของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ได้โทรศัพท์พร้อมโทรทางแชตเฟซบุ๊กและส่งข้อความให้สื่อมวลชนใกล้เคียงทราบข่าว เนื่องจากเกรงคดีจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะผู้ก่อเหตุเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ
นางอุมาวดี แย้มเยื้อน อายุ 49 ปี น้องสาวผู้เสียชีวิต (ลูกพี่ลูกน้อง) กล่าวด้วยความคับแค้นใจหลังพี่สาวผู้บริสุทธิ์ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกระหน่ำแทง กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า กลัวคดีไม่ได้รับความเป็นธรรม เกรงพี่สาวจะตายฟรี เพราะความยุติธรรมไม่มีอยู่จริง ยิ่งผู้ก่อเหตุเป็นตำรวจด้วยยิ่งน่ากลัว ลองคิดดูเพื่อนตำรวจบอกว่า ผู้ก่อเหตุเป็นตำรวจป่วยทางจิต แต่ยังมาปฏิบัติหน้าที่ ทำไมไม่คลั่งแทงตำรวจโรงพักเดียวกัน ไม่ต้องมาฆ่าชาวบ้านผู้บริสุทธิ์
...
และยังกล่าวอีก ถามตำรวจ สภ.ชะอวด ว่าผู้ก่อเหตุชื่ออะไร อยู่โรงพักไหน ทางตำรวจบอกว่าไม่รู้จักชื่อ และไม่รู้ว่าโรงพักไหน แบบนี้จะให้เชื่อใจในการทำงานได้อย่างไร จนกระทั่งญาติได้ไปที่ สภ.ชะอวด เพื่อติดตามว่าตำรวจจับตำรวจที่ก่อเหตุมาจริงหรือไม่ และการจับมาก็ไม่มีการตรวจวัดแอลกอฮอล์ หรือตรวจสารเสพติด จนญาติผู้เสียชีวิตคาใจ อยากเห็นหน้าชัดๆ ว่าหน้าตาแบบไหน ด้วยความคับแค้นใจ เขายังไม่ทำอะไร
อย่างไรก็ตาม มีการรายงานคดีด่วนไปยังผู้บังคับบัญชาระดับสูง โดย พ.ต.อ.สมพร นิติภักดิ์ ผกก.สภ.ชะอวด ระบุว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ต้องหาได้ขับรถยนต์ตกข้างทาง เจ้าหน้าที่รถยกได้ไปช่วยเหลือ และนำรถยนต์คันที่เกิดเหตุมาที่หน้าบ้านพักตำรวจ สภ.ชะอวด จากนั้นผู้ต้องหาได้โทรศัพท์พูดคุยกับมารดา และไม่สามารถควบคุมสติตัวเองได้ จึงได้ไล่ทำร้ายบุคคลที่อยู่บริเวณดังกล่าวด้วยอาวุธมีดแบบพับขนาดด้ามยาว 4.5 นิ้ว คมมีดยาว 3.5 นิ้ว โดยผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมาบนถนนที่เกิดเหตุพอดี มาประสบเหตุอย่างไม่คาดฝัน
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการควบคุมผู้ต้องหา ซึ่งเป็นตำรวจดำเนินคดีทันที และเมื่อมีการตรวจประวัติผู้ต้องหา ทราบว่าได้มีการพบแพทย์เพื่อรักษาอาการจิตเวชที่ รพ.จิตเวชสงขลา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 และรับยาตามแพทย์สั่งมากินอยู่ประจำทุกเดือน จนครั้งล่าสุดก่อนเกิดเหตุประมาณ 3 เดือน แพทย์วินิจฉัยว่าอาการดีขึ้น จึงลดยา และนัดพบแพทย์อีก 3 เดือน ซึ่งครั้งต่อไป แพทย์นัดพบในวันที่ 5 มีนาคม 2567 และในวันเกิดเหตุได้ดื่มสุรามาก่อน ตรวจวัดหลังเกิดเหตุได้ 49 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ได้ตรวจสารเสพติด ไม่พบสารเสพติดในปัสสาวะ
ซึ่งสาเหตุที่ก่อเหตุน่าจะเกิดจากดื่มสุราจนเมาแล้วคลุ้มคลั่ง.