โฆษกศาลยุติธรรม ชี้ ความเห็นแย้งของหัวหน้าศาลและอธิบดีศาลภาค 4 ในคดีลุงพล ไม่มีผลโดยตรงต่อการวินิจฉัยชั้นอุทธรณ์ ย้ำผู้พิพากษามีอิสระในการพิจารณาคดี ก่อนหน้านี้เคยมีความเห็นแย้งของผู้พิพากษาหัวหน้าศาลและอธิบดีผู้พิพากษาศาล ในศาลใหญ่ๆ มาแล้ว ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ

วันที่ 21 ธันวาคม นายสรวิศ ลิมปรังษี โฆษกศาลยุติธรรม เปิดเผยกรณีศาลจังหวัดมุกดาหาร พิพากษาจำคุก นายไชย์พล วิภา หรือลุงพล 20 ปี จำเลยคดีน้องชมพู่ ว่า จำเลยสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ตามขั้นตอนของกฎหมาย

ส่วนที่ อธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 และผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดมุกดาหาร ที่ตรวจสำนวนแล้วเห็นว่าควรยกฟ้อง (เห็นแย้ง) เนื่องจากพยานหลักฐานโจทก์มีข้อสงสัย นั้นคำเห็นแย้งก็จะอยู่ในสำนวนท้ายคำพิพากษา เมื่อเวลาคดีขึ้นสู่ศาลชั้นอุทธรณ์ องค์คณะศาลอุทธรณ์ก็จะเห็นทั้งตัวคำพิพากษาของศาลจังหวัดมุกดาหาร (ศาลชั้นต้น) และความเห็นแย้ง ซึ่งทางองค์คณะศาลอุทธรณ์ก็จะนำข้อมูลทั้งหมดในสำนวนทั้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นรวมทั้งความเห็นแย้งต่างๆ ที่คู่ความอุทธรณ์ขึ้นมาประกอบในการพิจารณาทำคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ 

"แต่คำเห็นแย้งดังกล่าวคงไม่ได้เป็นจุดเปลี่ยนคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์โดยตรง เพราะตัวความเห็นหลักยังเป็นความเห็นขององค์คณะผู้พิพากษาศาลจังหวัดมุกดาหาร เพราะองค์คณะผู้พิพากษาเป็นคนสืบพยานเป็นผู้ที่เห็นข้อเท็จจริงในตอนที่พยานมาเบิกความ เห็นข้อเท็จจริงพยานหลักฐานต่างๆ อย่างใกล้ชิด ซึ่งน้ำหนักความเห็นแย้งจะมีมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับมุมมองขององค์คณะผู้พิพากษาชั้นอุทธรณ์ หากยังเห็นคล้อยไปตามเสียงข้างมากขององค์คณะผู้พิพากษาก็เป็นดุลยพินิจของศาลในชั้นอุทธรณ์ ที่จะต้องวิเคราะห์วินิจฉัยจากข้อเท็จจริงจากคำเบิกความที่รับฟังมา ทั้งพยานเบิกความมา จากพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ต่างๆมาประกอบกัน และเห็นว่าตัวข้อเท็จจริงพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์กับคำเบิกความมีสอดคล้องกันเพียงพอ เชื่อมั่นได้ว่าจำเลยน่าจะเป็นคนที่กระทำความผิด"

...

นายสรวิศ กล่าวย้ำว่า ในการบังคับบัญชาของผู้พิพากษาหรือตุลาการไม่เหมือนกับข้าราชการฝ่ายอื่น เพราะถึงแม้ว่าโดยสายของการบังคับบัญชาในองค์กร ผู้พิพากษาที่เป็นองค์คณะ จะอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของหัวหน้าศาล อธิบดีผู้พิพากษา แต่การบังคับบัญชาไม่มีผลต่อการพิพากษาคดี เพราะหลักการพิพากษาคดีเป็นอิสระ ไม่ว่าจะเป็นอิสระจากการแทรกแซงภายนอกและภายใน ผู้พิพากษาสามารถใช้ดุลยพินิจในการพิพากษาออกไปได้ โดยที่ไม่ได้เน้นผลของการบังคับบัญชา แต่ในฐานะที่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลและอธิบดีผู้พิพากษาศาล เป็นผู้รับผิดชอบราชการในงานของศาลนั้น ก็มีส่วนในการดูแลความเรียบร้อยของศาลอยู่ในแล้ว ดังนั้นหากมีอะไรที่เห็นส่วนตัวอาจจะแตกต่างไปจากองค์คณะผู้พิพากษา ก็มีอำนาจตามกฎหมายตามรัฐธรรมนูญที่จะทำความเห็นไว้ในสำนวนได้ 


ส่วนที่กลุ่มนักกฎหมายที่ออกมาแสดงความเห็นนั้น ตนเองยังไม่ทราบรายละเอียดว่าออกมาแสดงความเห็นกันอย่างไรบ้าง แต่กระบวนการตรงนี้เป็นกระบวนการตามขั้นตอนของกฎหมาย ที่องค์คณะผู้พิพากษามีอิสระในการรับฟังพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงในการวินิจฉัยไปตามเหตุและผลจากพยานหลักฐาน ส่วนความเห็นแย้ง เป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหากที่ให้อำนาจผู้พิพากษาหัวหน้าศาลและอธิบดีผู้พิพากษาศาลภาคไว้

อย่างไรก็ตาม กรณีผู้พิพากษาหัวหน้าศาลและอธิบดีผู้พิพากษาศาลภาคมีความเห็นแย้ง จะต้องไปนั่งบัลลังก์หรือไม่นั้น เป็นคนละกรณีกัน กรณีที่ไปนั่งในห้องพิจารณาถือเป็นคณะส่วนหนึ่งในการพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ปกติแล้วคนที่จะพิจารณาพิพากษาคดีได้จะต้องเป็นองค์คณะที่พิจารณาคดีนั้นมาแต่ต้น หรือได้รับการแต่งตั้งเข้ามาแทนที่กรณีสุดวิสัย แต่อำนาจในการตรวจสำนวนและทำความเห็นแย้งเป็นอำนาจเพิ่มเติมที่รัฐธรรมนูญศาลยุติธรรมกำหนดมาให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล อธิบดีผู้พิพากษาศาล หรือประธานศาล แม้จะไม่ได้นั่งพิจารณาเองแต่ในฐานะที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลศาล ก็สามารถตรวจสำนวนและทำความเห็นแย้งไว้ได้ หากเห็นว่าเป็นกรณีที่สมควรต้องทำความเห็นแย้งไว้ 

ทั้งนี้ องค์คณะผู้พิพากษาศาลจังหวัดปกติจะมี 2 คน และต้องเป็นคนละองค์คณะกับผู้พากษาศาลอุทธรณ์ ที่จะมี 3 คน โดยองค์คณะศาลอุทธรณ์จะเป็นผู้พิพากษาที่ทำงานในชั้นอุทธรณ์ และได้รับการจ่ายสำนวน การมอบหมายจากประธานศาลอุทธรณ์

โฆษกศาลยุติธรรม ระบุว่า "ความเห็นแย้งของอธิบดีผู้พิพากษาศาลและผู้พิพากษาหัวหน้าศาล มีความสงสัยตามสมควรจึงเห็นควรยกประโยชน์ให้จำเลยตรงนี้จะทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ประโยนช์หรือไม่ร คงไม่ได้เป็นประโยชน์โดยตรง เพราะความเห็นแย้งชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นความเห็นแย้งของเสียงข้างมากในคดีนั้น ดังนั้นผลของคำพิพากษาตัวคำความเห็นแย้งตรงนี้ไม่ได้มีผลในการเปลี่ยนแปลงของคำพิพากษาโดยตรง เพียงแต่เป็นข้อมูลประกอบในการพิจารณาในชั้นสูงขึ้นไป และเรื่องการยกประโยชน์แห่งความสงสัยเป็นเงื่อนไขปกติในกฎหมายซึ่งในคดีอาญาหลายคดีก็ต้องพิจารณาอยู่แล้วว่าพยานหลักฐานที่ฝ่ายโจทก์นำสืบมามีเหตุทำให้วิญญูชนทั่วไปเกิดความสงสัยได้หรือไม่ ว่าตัวจำเลยหรือผู้ต้องหากระทำความผิดจริง ซึ่งพยานหลักฐานเหล่าที่ที่ผู้ทำความเห็นแย้งดูเป็นพยานหลักฐานชุดเดียวกัน เพียงแต่บางจุดหรือข้อเท็จจริงบางส่วนอาจจะมีมุมมองที่เห็นต่างกันได้ แต่ในการวินิจฉัยมีหลักอยู่แล้วตามเงื่อนไขของกฎหมาย หากมีเหตุสงสัยสามารถยกประโยชน์ให้จำเลยได้" 

โฆษกศาลยุติธรรมระบุอีกว่า ความเห็นแย้งของผู้พิพากษาหัวหน้าศาลและอธิบดีผู้พิพากษาศาล เคยเกิดขึ้นอยู่เป็นระยะและก่อนหน้านี้ในศาลใหญ่ๆ ก็เคยมีเหตุการณ์ คล้ายๆ กันไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติ เพราะเป็นเรื่องของการตรวจสำนวนตั้งข้อสังเกตไว้ชั้นสำนวนปกติ ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงที่ผิดปกติไป ที่ผ่านมาจะเห็นบางคดีที่มีการอุทธรณ์หรือฎีกาขึ้นไป คำพิพากษาของศาลชั้นสูงก็อาจแตกต่างไปอาจจะกลับหรือแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้ เพราะแม้พยานหลักฐานชุดเดียวกันแต่อาจจะมีความเห็นหรือมุมมองที่ต่างกันได้ ผู้พิพากษาแต่ละท่านก็จะใช้ประสบการณ์ความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวมาดูแต่ละคนก็มีมุมมองที่แตกต่างกัน.

...