ตำรวจสอบสวนกลาง ตามรวบแพ็กคู่ "2 ผัวเมีย" ใช้สารพัดกลโกงหลอกเงินเหยื่อ เสียหายกว่า 30 ล้านบาท สอบสวนผัวยอมรับสารภาพ ส่วนเมียยังปากแข็ง ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 66 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการปราบปราม (บก.ป) ร่วมกันจับกุม 2 สามีภรรยา คือ นายอาภากร (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 36 ปี ตามหมายจับของศาลแขวงธนบุรี จำนวน 4 หมายจับ ในความผิดฐาน "ฉ้อโกง" และ น.ส.นิตยา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 40 ปี ตามหมายจับ สน.ราษฎร์บูรณะ จำนวน 1 หมายจับ ในความผิดฐาน "ร่วมกันฉ้อโกง" ตามหมายจับศาลแขวงธนบุรีที่ 227/2566 ลงวันที่ 6 ก.ย. 2566 เลขคดีอาญา 936/2566 โดยจับกุมได้ที่บริเวณหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง ถ.ท้ายบ้าน ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
พฤติการณ์สืบเนื่องจากเมื่อประมาณ พ.ศ. 2553 ผู้ต้องหาและครอบครัวได้ไปเช่าอพาร์ตเมนต์ ย่านราษฎร์บูรณะ จากนั้นได้ตีสนิทกับผู้เสียหายโดยการช่วยเหลือดูแลอพาร์ตเมนต์ โดยผู้เสียหายไม่ได้ร้องขอ ช่วยซ่อมแซมระบบไฟฟ้าของอพาร์ตเมนต์ ซึ่งผู้ต้องหาเป็นคนที่มีความรู้เรื่องระบบไฟฟ้า จนทำให้ผู้เสียหายเกิดความไว้วางใจ จนมาเมื่อ พ.ศ. 2555 ผู้เสียหายต้องการที่จะปลูกบ้าน ผู้ต้องหาเลยเสนอตัวว่ามีความรู้เกี่ยวกับการปลูกสร้างบ้าน โดยให้ผู้เสียหายโอนเงินค่าก่อสร้างและค่าซื้อไม้สักเป็นต้น โดยมียอดการโอนเงินเป็นจำนวนหลายครั้ง ต่ำสุดมีตั้งแต่หลักพันถึง 6-7 แสนต่อครั้ง และผู้ต้องหายังมีการอ้างว่า สามารถประมูลอุปกรณ์ไฟฟ้าจากการไฟฟ้าได้ โดยจะได้ราคาถูกกว่าท้องตลาด ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินให้กับผู้ต้องหา โดยมีการโอนเงินจนมาถึงปี 2562 รวมการโอนทั้งสิ้นหลายร้อยครั้ง มูลค่าความเสียหายประมาณ 22 ล้านบาท แต่ภายหลังจากที่ผู้เสียหายโอนเงินไป ก็ไม่เคยได้สิ่งของหรือการสร้างบ้านตามที่ตกลงกันไว้ เมื่อทวงถามกับผู้ต้องหาไปก็บ่ายเบี่ยง จึงเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ราษฎร์บูรณะ จนนำมาสู่การออกหมายจับดังกล่าว
...
สำหรับผู้เสียหายในรายอื่นๆ ผู้ต้องหาก็จะใช้เล่ห์กลในการหลอกลวงคล้ายๆ กัน คือ หลอกว่าจะทำธุรกรรมต่างๆ ให้ แต่จะเรียกเก็บเงินค่ามัดจำ ค่าดำเนินการต่างๆ ก่อน เมื่อได้เงินแล้วก็จะเชิดเงินหนีไป ติดต่อไม่ได้ และเหตุการณ์ล่าสุดเกิดเมื่อประมาณต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ผู้เสียหายที่ 2 ต้องการที่จะปรับปรุงบ้าน ย่านท่าข้าม เลยได้ไปถามญาติ ซึ่งเปิดร้านขายวัสดุก่อสร้าง เพื่อให้ช่วยแนะนำช่าง ทางญาติจึงแนะนำผู้ต้องหา เพราะเห็นว่าเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง และเป็นลูกค้าของทางร้าน หลังจากที่ผู้เสียหายที่ 2 ได้รู้จักกับผู้ต้องหา ผู้ต้องหาก็แสดงท่าทีเป็นบุคคลมีน้ำใจ คอยช่วยเหลือ และมักซื้อของมาฝากบ่อยครั้ง ผู้เสียหายที่ 2 จึงเกิดความไว้วางใจ จนเมื่อประมาณเดือนเมษายน ทางผู้ต้องหาเริ่มมีการให้ผู้เสียหายที่ 2 โอนเงินมัดจำค่าก่อสร้างและอ้างว่า จะนำไปซื้ออุปกรณ์ที่จะปรับปรุงบ้าน โอนจำนวนหลายครั้ง แต่ละครั้งยอดหลักแสน รวมแล้วประมาณ 1 ล้าน 5 แสนบาท นอกจากนี้ ผู้ต้องหายังได้ชักชวนญาติของผู้เสียหายที่ 2 อีก 3 คน มาร่วมการประมูลรถหรูและของแบรนด์เนม จากหน่วยงาน ป.ป.ง. โดยผู้ต้องหาอ้างว่ารู้จักเจ้าหน้าที่ภายใน สามารถช่วยให้ได้ของราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาด แต่ขอให้โอนเงินมัดจำเป็นค่าเจ้าหน้าที่ดำเนินการก่อน ทั้ง 3 คน โอนเงินจำนวนหลายครั้ง ตั้งแต่หลักแสนถึงหลักล้านบาท เพื่อเป็นค่าดำเนินการดังกล่าว รวมแล้วประมาณกว่า 5 ล้านบาท แล้วสุดท้ายก็โดนเชิดเงินหนีหาย ซึ่งการโอนเงินของผู้เสียหายแต่ละรายนั้น ทาง นายอาภากร ผู้ต้องหาที่ 1 ได้ให้ผู้เสียหายโอนมายังบัญชีธนาคารของภรรยา คือ นางการเกด ผู้ต้องหาที่ 2 (เสียชีวิต ก.ค. 66) และบัญชีของภรรยาอีกคนชื่อ น.ส.นิตยา ผู้ต้องหาที่ 3 (ถูกจับกุมในคราวเดียวกัน)
จนตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการปราบปราม สืบสวนติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 รายได้พร้อมกัน และนำตัว นายอาภากร ส่งศาลแขวงธนบุรี ส่วน น.ส.นิตยา ถูกนำตัวส่ง พงส.สน.ราษฎร์บูรณะ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
จากการสอบสวนผู้ต้องหาเบื้องต้น ผู้ต้องหาที่ 1 ให้การยอมรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา.