ผงะข้อมูลส่วนบุคคล ชื่อ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล 15 ล้านรายชื่อถูกเร่ขายผ่านทางดาร์กเว็บ หนุ่ม กทม.วัย 24 ปี อ้างเคยขายได้เดือนละ 4 แสนบาท ขณะที่ตำรวจไซเบอร์ พบหลักฐาน 2 ล้านรายชื่อ มีการตกลงซื้อขายกันในราคาเพียง 7,000 บาท เร่งขยายผลถึงต้นตอ เบื้องต้นยังไม่เกี่ยวข้องกับ "9 near" ที่เคยโดนจับไปแล้วก่อนหน้านี้
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 24 สิงหาคม 2566 ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เมืองทองธานี อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.สอท.2 พล.ต.ต.ชรินทร์ โกพัฒน์ตา ผบก.สอท.5 คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ, สํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ร่วมกันแถลงผล Operation Take Down ปฏิบัติการ “ล่า รัก (ลัก) ลวง” จับกุมคดีสำคัญ 2 คดี
ทั้งนี้ พล.ต.ท.วรวัฒน์ กล่าวว่า ในคดีแรกทางเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมตัวนายศุภากรณ์ ฉวีศักดิ์ หรือ ปลื้ม อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 109 แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กทม. ผู้ต้องหา ในความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากกรณีที่ได้ขายข้อมูล ส่วนบุคคลให้บุคคลอื่น
...
สำหรับผลการจับกุมดังกล่าว มาจากการขยายผลการ จับกุมนายผดุงเกียรติ หรือ เบนซ์ ที่ขายข้อมูลส่วนบุคคล กว่า 2 ล้าน รายชื่อ ทั้งข้อมูลรายชื่อ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล ให้กับกลุ่มธุรกิจสีเทา กลุ่มเว็บพนันออนไลน์ กลุ่มคอลเซ็นเตอร์ เพื่อที่จะนำข้อมูลดังกล่าวไปหลอกลวงประชาชน ซึ่งยังเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ซึ่งถูกตำรวจจับกุมไปเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมา จากนั้นจึงได้สืบสวนขยายผลจนทราบว่าเป็นกลุ่มของนายศุภากรณ์ หรือปลื้ม ที่เป็นเจ้าของเฟซบุ๊ก ชื่อ “งานไม่ทำ รำอย่างเดียว” ซึ่งพบหลักฐานที่มีการตกลงซื้อขายข้อมูลยกไดรฟ์ที่มีจำนวนชื่อกว่า 2 ล้าน รายชื่อ ขายให้กับผู้ต้องหาที่เคยถูกจับกุมก่อนหน้านี้ในราคา 7,000 บาท
ด้าน พล.ต.ต.ชรินทร์ กล่าวว่า จากการสอบปากคำเบื้องต้น พบว่า นายศุภากรณ์ เป็นคนกลางที่รับซื้อข้อมูลจากกลุ่มลูกค้าที่เคยซื้อขายอาหารเสริมยี่ห้อดังแบรนด์หนึ่ง และรับซื้อมาจากกลุ่มธุรกิจสีเทา ซึ่งตามคำกล่าวอ้าง บอกว่าซื้อมา 15 ล้านรายชื่อ และผู้ต้องหา นำมาแบ่งขายเป็นแพ็กเกจให้กับกลุ่มที่สนใจใน ดาร์กเว็บ ซึ่งแพ็กเกจจะแตกต่างกันออกไป เคยขายได้เดือนละ 4 แสนบาท จากการตรวจสอบข้อมูลรายชื่อที่ผู้ต้องหานำไปขาย พบว่าผู้ต้องหามีการนำข้อมูลที่เป็นข้อมูลปลอมผสมไปด้วย และมีการนำข้อมูลมาวนขายซ้ำอีกด้วย และนอกจากนี้ นายศุภากรณ์ ยังมีแนวคิดที่จะนำความรู้ของตัวเองจะไปพัฒนาและสร้างเว็บไซต์ที่ใช้กับแอปฯของธนาคาร โอนเงินเกิน 5 หมื่นบาท โดยไม่ต้องสแกนใบหน้าไปขายให้กับกลุ่มที่รับซื้อ
ขณะที่ พล.ต.ต.อำนาจ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการสอบปากคำอ้างอีกว่า จะสามารถขายเครื่องส่งสัญญาณข้อความผ่าน SMS รวมถึงจะมีการขายแอปพลิเคชันที่สามารถบันทึกใบหน้าเหยื่อเพื่อไปไว้สำหรับสแกนกดเงินของบัญชีธนาคาร ซึ่งจากคำกล่าวอ้างดังกล่าวทางตำรวจไซเบอร์จะนำไปขยายผลว่ามีการทำได้จริงหรือไม่ แต่เบื้องต้นจากหลักฐานที่ตรวจสอบผ่านคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือยังไม่พบว่าสามารถทำได้จริง ซึ่งตำรวจจะขยายผลถึงต้นตอการซื้อขายรายชื่อ ที่ผู้ต้องหาซื้อมาและกลุ่มที่ซื้อต่อจากผู้ต้องหาไป แต่จากการตรวจสอบเบื้องต้น ยังไม่พบว่าผู้ต้องหาเกี่ยวข้องกับจ่าสิบโทเขมรัตน์ บุญช่วย หรือ 9 เนียร์ (9 near)ที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้ เรื่องการขายข้อมูลส่วนบุคคล 55 ล้านรายชื่อ อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลผู้ร่วมขบวนการต่อไป
ในคดีที่ 2 พล.ต.ท.วรวัฒน์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากมีผู้เสียหาย แจ้งความระบบการแจ้งความออนไลน์ ในกรณีถูกมิจฉาชีพหลอกลวงให้รัก แล้วโอนเงิน โดยคนร้ายใช้เทคนิคทางจิตวิทยาผ่านเครื่องมือทางเทคโนโลยี (แอปพลิเคชันอินสตาแกรม) ส่งข้อความมาในลักษณะชวนคุย เพื่อหลอกลวงให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ หลงคารม และตกลงคบเป็นแฟนกัน ซึ่งได้พูดคุยกันเรื่อยมา จนกระทั่งคนร้ายอ้างว่าจะส่งของมาให้เป็นเงินจํานวน 50,000 ปอนด์ พร้อมด้วย นาฬิกา, กระเป๋าหรู และทรัพย์สินมีค่าอื่นๆ แต่ผู้เสียหายต้องโอนชําระเงินค่าขนส่งไปให้ก่อน ผู้เสียหาย หลงเชื่อจึงโอนเงินไป มูลค่าความเสียหาย 1,090,000 บาท
...
ต่อมาชุดสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานกลุ่มขบวนการที่เกี่ยวข้อง จนทราบว่ามีความเชื่อมโยงกับผู้เสียหายในระบบแจ้งความออนไลน์ จํานวน 7 Case Id มูลค่าความเสียหายรวม 18,542,500 บาท เจ้าหน้าที่ตํารวจ กก.1 บก. สอท.5 จึงได้สืบสวนสอบสวนขออนุมัติศาลออกหมายค้น เข้าตรวจค้นพื้นที่ 7 จุด ประกอบด้วย สุราษฎร์ธานี, ภูเก็ตและกทม. พร้อมจับกุม MRS.MYINT อายุ 38 ปี สัญชาติเมียนมา บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 2672/2566 และ MR.SHOON อายุ 37 ปี สัญชาติเมียนมา ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 2676/2566 ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตน เป็นคนอื่น, ร่วมกันโดยทุจริตหรือหลอกลวง นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือ ปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ ประชาชน”
พร้อมของกลางที่ตรวจยึดอายัด รถยนต์หรู, Macbook, Ipad, ธนบัตรดอลลาร์, ธนบัตรพม่า, ธนบัตร ไทย, สมุดบัญชีธนาคาร พร้อมของกลางอื่นอีกหลายรายการ โดยจับกุมได้ที่บ้านพักในพื้นที่ หมู่ 4 ต.ฉลอง อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต ก่อนนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.