ที่สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 31 ก.ค. นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ "กัน จอมพลัง" พา น.ส.เอ อายุ 20 ปี (นามสมมติ) ผู้เสียหาย เข้าพบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กรณีถูกตำรวจเรียกเงิน 1 แสนบาท แลกกับการไม่ถูกดำเนินคดีฐานบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน หลังผู้เสียหายถูกล่อลวงเข้าไปในบ้านชายผู้ก่อเหตุอนาจาร จนต้องปีนรั้วไปขอให้บ้านหลังข้างๆ ช่วยเหลือ แต่กลับถูกเจ้าของบ้านที่ปีนเข้าไปแจ้งความเรื่องบุกรุกฯ แต่เมื่อเจ้าของบ้านทราบความจริง จะขอถอนแจ้งความ แต่ พ.ต.ท.เจ้าของคดีไม่ยอมถอนให้ อ้างเป็นคดีอาญา ยื่นข้อเสนอกับผู้เสียหายขอคบกันเพื่อช่วยเหลือด้านคดี ไม่ต้องถึงมืออัยการ พร้อมจะดำเนินคดีอนาจารกับผู้ที่ล่อลวงไปให้
น.ส.เอ (นามสมมติ) ผู้เสียหายให้การว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเดือน ต.ค. 2565 ที่จังหวัดสระบุรี ขณะที่กำลังเดินทางกลับบ้านช่วงกลางคืน โดยรถยนต์เกิดแบตเตอรี่หมด และโทรศัพท์มือถือแบตหมด มีชายเข้ามาช่วยเหลือโดยช่วยเข็นรถยนต์ให้ แต่เข็นเข้าไปในที่เปลี่ยว และอ้างว่าจะพาไปเอาแกลลอนน้ำมันที่บ้าน เพื่อเอาไปซื้อน้ำมันมาเติมรถ ตนได้ขอยืมสายชาร์จโทรศัพท์ ชายคนดังกล่าวบอกว่าให้เดินไปหยิบในห้อง จากนั้นชายคนดังกล่าวเข้ามาล็อกห้องและพยายามลวนลาม จึงได้ออกอุบายขอเข้าห้องน้ำ และหลบหนีออกมาได้โดยปีนรั้วหนีไปยังบ้านข้างๆ และขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน
...
น.ส.เอ เล่าว่า จากนั้นได้มาแจ้งความที่ สภ.เสาไห้ จว.สระบุรี แต่ตนถูกคุมตัวไว้ เนื่องจากเจ้าของบ้านที่ปีนหนีเข้าไปได้แจ้งความว่าตนบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน โดยตนได้แจ้งความดำเนินคดีกับชายที่ล่อลวงตนเข้าบ้านหลังแรกในข้อหากระทำอนาจาร จากนั้นเจ้าของบ้านหลังที่ 2 เมื่อรู้เรื่องราวทั้งหมดจึงได้ถอนแจ้งความไป แต่ตำรวจไม่ให้ถอนแจ้งความ อ้างว่าเป็นคดีอาญา ไม่สามารถถอนแจ้งความได้ จากนั้นตำรวจยศ “พ.ต.ท.” ได้เรียกรับเงิน 1 แสนบาท พร้อมอ้างว่าจะช่วยเหลือไม่ฟ้องร้องคดี ไม่ต้องถึงชั้นอัยการ แต่หาเงินให้ไม่ได้จึงต่อรองเหลือ 1 หมื่นบาท ตำรวจนายนี้ทำคดีที่ตนถูกกระทำอนาจารให้ พร้อมเสนอขอมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวอีก
ด้าน นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ กัน จอมพลัง กล่าวว่า หลังจากได้รับการร้องเรียนจากผู้เสียหายแล้ว ได้สอบถามไปยัง ผบก.ภ.จว.สระบุรี พบว่าตำรวจนายดังกล่าวเคยมีประวัติในเรื่องการเรียกรับผลประโยชน์มาแล้ว 2 ครั้ง และถือว่าเป็นการกระทำที่ซ้ำเติมเหยื่อ จึงต้องพามาร้องขอความเป็นธรรม ให้ดำเนินคดีกับตำรวจที่เกี่ยวข้อง
ขณะที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า หลังจากนี้จะนำหลักฐาน และสอบปากคำผู้เสียหายว่าเข้าข่ายความผิดฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ มาตรา 157 หรือไม่ หากว่ามีหลักฐานดำเนินคดีกับตำรวจที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการด้วย พร้อมทั้งเตือนให้ประชาชนมีสติ หากมีตำรวจมาอ้างว่าจะสามารถช่วยเหลือทางคดีได้ โดยให้ติดต่อผู้กำกับการของแต่ละพื้นที่ได้ทันที และอย่าโอนเงินเด็ดขาด
ภายหลังเข้าให้ข้อมูลแล้วเสร็จ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้สั่งให้นำผู้เสียหายเดินทางไปพบ ผบก.ภ.จว.สระบุรี เพื่อแจ้งความกับตำรวจยศ พ.ต.ท. ที่เรียกรับผลประโยชน์ และเร่งดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงทั้งหมด หากพบกระทำความผิดจริงจะต้องออกจากราชการ.