ตำรวจเร่งตามยึดของกลางมัดแก๊งทมิฬ ฆ่าหั่นศพ "ฮันส์ ปีเตอร์" นักธุรกิจชาวเยอรมัน มั่นใจเอาผิดตัวการสำคัญ แฉ "โอลาฟ" วางแผนเหนือเมฆ จัดฉากโยนความผิด ทำทุกวิถีทางไม่ให้เรื่องถึงตัว 

ความคืบหน้าคดีอุ้มฆ่าหั่นศพ นายฮันส์ ปีเตอร์ แรลเตอร์ มัค อายุ 62 ปี นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชาวเยอรมัน ที่ทางตำรวจสามารถจับ นาย ชาฮ์รูค คารีม อุดดิน อายุ 27 ปี สัญชาติไทย เชื้อชาติปากีสถาน ผู้ต้องหาคนสุดท้าย ที่ถูกตำรวจจับกุมได้ที่จังหวัดกาญจนบุรี และถูกนำตัวกลับมาดำเนินคดีที่ สภ.หนองปรือ ก่อนช่วงกลางดึกตำรวจจะได้นำตัว นายชาฮ์รูค ออกจากห้องขัง สภ.หนองปรือ ย้ายไปควบคุมขังที่ สภ.บางละมุง เพื่อไม่ให้ผู้ต้องหามีการพูดคุย หรือเตี๊ยมกันในเรื่องของคดี ประกอบกับทนายและญาติของ นายชาฮ์รูค แจ้งกับตำรวจว่า นายโอลาฟ หนึ่งในผู้ต้องหาตัวการใหญ่ ได้ข่มขู่จะมีการลักพาตัว แฟนและน้องสาวของ นายชาฮ์รูค เกรงว่าหากนำตัวเข้าไปเจอกันในห้องขัง จะทำให้เกิดอาการเครียด และถูกข่มขืนซ้ำอีก 

ล่าสุดเมื่อเวลา 11.00 น. ของวันที่ 13 ก.ค. 66 นายชาฮ์รูค คารีม อุดดิน หรืออาซุ ได้ถูกตำรวจควบคุมตัวกลับมาที่ สภ.หนองปรือ แล้วนำตัวไปสอบสวน โดยมี พล.ต.ต.ธีระชัย ชํานาญหมอ ผบก.กก.สส.ภาค 2, พล.ต.ต.ชมชวิณ ปุระธนานนท์ รอง ผบช.ภ.7 รักษาราชการแทน ผบก.ภ.จว.ชลบุรี เข้าร่วมสอบปากคำด้วยตนเอง โดยใช้เวลาประมาณเกือบ 2 ชม. ก็ได้นำตัวกลับลงมาห้องควบคุมขัง 

...

ต่อมา นายซาบาส, นางแพท, นายชาลี พ่อแม่และพี่ชาย ได้เดินทางมาเยี่ยม โดยนำน้ำอัดลม น้ำมะพร้าว และเคบับไก่ 2 ม้วน มาให้ นายชาฮ์รูค โดยระหว่างที่พูดคุยกันผ่านกรงเหล็กในห้องขัง จะพบว่า นายชาลี ผู้เป็นพี่ชาย มีการใช้โทรศัพท์มือถือบันทึกเสียงคำพูดบทสนทนาของน้องชายตลอดเวลา ใช้เวลาประมาณ 10 นาที จึงเดินออกมาจากห้องขัง 

โดย นายชาฮ์รียาร์ คารีม อุดดิน อายุ 30 ปี พี่ชาย เล่าว่า น้องชายยังคงยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการลงมือสังหาร หรือรู้เห็นกับเหตุการณ์ฆาตกรรมในครั้งนี้ แต่ที่ต้องตกเป็นผู้ร่วมขบวนการ เพราะถูก นายโอลาฟ ข่มขู่จะลักพาตัวน้องสาวและแฟน โดยมีการส่งรูปภาพไปให้สมาชิกแก๊งเอาต์ลอว์ หากใครเจอน้องชายให้จัดการได้ทันที ส่วนข้อมูลคำให้การน้องชาย ขอรอทางทนายก่อน และจะให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหมดแบบหมดเปลือก

พร้อมยังกล่าวต่ออีกว่า นายชาฮ์รูค น้องชาย ทำอาชีพเป็นนายหน้า ซื้อขายที่ดิน โดยส่วนใหญ่จะมีกลุ่มลูกค้าอยู่โซนภาคใต้ คือ ภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี จึงทำให้น้องชายได้รู้จักกับ นางเพทรา คริสเติล กรุนด์กริฟ นายหน้าชาวเยอรมัน และร่วมทำธุรกิจด้วยกัน และรู้จักกับ นายโอลาฟ ธรอสเทน บริงก์มันน์ ในฐานะชื่นชอบรถฮาเลย์ และอยู่ในวงการไบเกอร์เหมือนกัน โดยก่อนจะเกิดเรื่องราวทั้งหมด ในช่วงปลายเดือน มิ.ย. 66 น้องชายได้บอกกับแฟนสาวว่าจะไปทำงาน แต่ไม่ได้บอกสถานที่ จากนั้นช่วงต้นเดือนน้องชายก็ติดต่อมาบอกแฟนสาวขอยืมเงิน และโอนมาให้ก่อน 4,500 บาท เพื่อจ่ายเงินค่าเช่าบ้านพูลวิลล่า เพราะนางเพทราจะจัดปาร์ตี้ให้กับลูกค้าคนสำคัญ และนั่นก็คือการติดต่อกันเป็นครั้งสุดท้าย 

ด้าน นางแพท อายุ 56 ปี ผู้เป็นแม่ เล่าว่า ตอนนี้แม่มั่นใจว่าลูกชายไม่ใช่คนลงมือทำ จึงอยากขอความเป็นธรรมให้ลูกชายด้วย ในความรู้สึกของแม่ ตอนนี้เชื่อว่าคนที่วางแผนจะดึงลูกแม่มาเป็นตัวละครเพื่อจะมาเป็นแพะรับบาปหรือไม่ โดยพาไปซื้อของตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งสมัยนี้กล้องวงจรปิดมีทุกที่ เหมือนกำลังจัดฉากให้ลูกชายอยู่ด้วยทุกที่ ที่มีการเดินทางไป ซึ่ง ณ ตอนนี้ยังมั่นใจว่าลูกชายไม่ได้เป็นผู้ลงมือก่อเหตุ แต่ถ้าทำจริง ทางครอบครัวก็จะปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย ส่วนที่มั่นใจเพราะลูกชายพูดว่า สาบานว่าผมไม่ได้ทำจริงๆ ผมไม่ได้ฆ่า ผมโดนขู่จะลักพาตัวน้องสาวกับเมียไปขายฝั่งประเทศกัมพูชา ซึ่งคนวางแผนรู้จุดอ่อนของลูกชายว่าเป็นคนรักน้องสาวมาก จึงทำให้ต้องยินยอมทำอะไรบางอย่างที่ถูกบังคับ 

ส่วนคำพูดเชิงลึกของ นายชาฮ์รูค ที่จะให้การกับตำรวจทั้งหมดคือ ในวันที่ 4 ก.ค. นางเพทรา ได้ให้ นายชาฮ์รูค เปิดบ้านพูลวิลล่าเพื่อจัดปาร์ตี้ให้กับลูกค้าคนสำคัญ พอถึงที่นัดหมาย นายโอลาฟ นางเพทรา และ นายฮันส์ ปีเตอร์ มัค ผู้ตาย ได้เดินเข้าไปในบ้านพูลวิลล่า โดยให้ นายชาฮ์รูด รออยู่ด้านนอกนานกว่า 3 ชม. แต่พอ นายชาฮ์รูค เห็นความผิดปกติภายในบ้านพูลวิลล่าจึงเดินเข้าไปดู เปิดประตูเข้าไป ก็พบว่า นายฮันส์ ปีเตอร์ มัค นอนหมดสติอยู่ตรงโซฟา จึงสบถคำพูดว่า "ไอ้เหี้ย พวกมึงทำอะไรกัน" ทำให้ นายโอลาฟ คว้าอาวุธปืนใช้ศอกดันตัว นายชาฮ์รูค ไปติดกับกำแพง แล้วใช้อาวุธปืนจ่อหัวพร้อมทั้งพูดว่า "มึงเห็นทุกอย่างแล้ว มึงต้องมาร่วมกับกู ไม่งั้นน้องสาวมึง เมียมึง กูจะให้คนไปลักพาตัวไปขายที่เขมร พ่อแม่มึงที่ภูเก็ต กูจะตามไปฆ่าให้หมด" พร้อมจะนำรูปถ่ายครอบครัวไปให้สมาชิกแก๊งเอาต์ลอว์ โดยขู่ว่าให้จัดการได้เลยถ้า นายชาฮ์รูค หักหลัง จึงทำให้ นายชาฮ์รูค ต้องยอมทำตามคำสั่งทุกอย่างของ นายโอลาฟ และ นางเพทรา 

...

ซึ่งตำรวจชุดสืบสวนกำลังเร่งรวบรวมหลักฐานต่างๆ ทั้งพยานวัตถุ พยานบุคคล หลักฐานดีเอ็นเอ และหลักฐานจากกล้องวงจรปิด รวมถึงพยานบุคคลที่ตำรวจมีการกันไว้เป็นพยานหลายคน ไม่ว่าจะเป็นสองผัวเมียที่รับจ้างขนตู้แช่แข็ง, คนเปิดบัญชีม้าที่นายโอลาฟว่าจ้างให้รับโอนเงินผ่านบัญชี, พนักงานร้านค้าต่างๆ ที่ผู้ต้องหาไปซื้อของมาใช้ในการก่อเหตุ ทั้งเลื่อยไฟฟ้า ตู้แช่แข็ง และอุปกรณ์ต่างๆ อีกทั้ง โทรศัพท์มือถือที่เจอในวันที่พบศพ ปรากฏว่าโทรศัพท์ดังกล่าวไม่ใช่ของคนตาย เป็นโทรศัพท์ที่ นายโอลาฟ และ นางเพทรา เพิ่งไปซื้อมาใหม่ แล้วนำมาทิ้งไว้ในที่เกิดเหตุเพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ โดยโทรศัพท์เครื่องจริงของผู้ตายพบว่าสัญญาณไปปรากฏอยู่ฝั่งประเทศกัมพูชา ซึ่งตำรวจกำลังไล่ติดตามหาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้แล้ว และยังพบว่ามีการลงทุนซื้อเรือสปีตโบ๊ตเพื่อเตรียมนำศพไปทิ้งกลางทะเล และที่สำคัญ ตำรวจยังพบว่า นายโอลาฟ มีการวางแผนลงมือก่อเหตุอย่างมืออาชีพ ทำทุกอย่างเพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ รวมถึงวางแผนอย่างแยบยลเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องรับโทษ และโยนความผิดให้คนอื่น. 

...