สาวใต้โร่แจ้งความ สภ.เมืองนครราชสีมา ถูกตำรวจชุดสายสืบ บุกจับสามีใหม่ตามหมายจับคดียาเสพติด แถมยึดปืน 9 มม. มีทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย แอบเอาไปจำนำ ขอคืนกลับถูกข่มขู่ เรียกค่าไถ่ 3 หมื่น พร้อมดอกเบี้ยอีก 1.5 หมื่น
เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2566 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนถึงพฤติกรรมความไม่ชอบมาพากลของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสายสืบจังหวัดนครราชสีมา จาก นางสาวปัทมาวดี สองธานี อายุ 35 ปี ชาว จ.ชุมพร ว่า ช่วงสองปีที่ผ่านมาตนได้ไปทำมาหากินอยู่ที่ จ.นครราชสีมา โดยขายใบพืชกระท่อมพร้อมกับเปิดเป็นร้านชื่อ “คาเฟ่น้ำท่อมชุมพร” อยู่ในซอย 30 กันยา ตำบลในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา ซึ่งมีลูกค้ามาใช้บริการจำนวนมาก ส่วนใบกระท่อมนั้นสามีเก่าตนชื่อ “โอ” เป็นคนหาซื้ออยู่ในพื้นที่ จ.ชุมพร แล้วรวบรวมส่งมาให้ตนเองขาย
น.ส.ปัทมาวดี กล่าวว่า ต่อมาตนเองได้รู้จักกับนายปวัณ หรือ “เทพ พาหา” ซึ่งเป็นคน จ.นครราชสีมา และก็ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอยู่กินกันมาเกือบ 1 ปี จากนั้นเมื่อประมาณเดือนกันยายน 2565 นายโอสามีเก่า ได้เดินทางมาจาก จ.ชุมพร ไปหาตนที่ร้าน “คาเฟ่น้ำท่อมชุมพร” และได้เจอตนเองกับเทพ สามีใหม่ จนเกิดทะเลาะวิวาทกัน เนื่องจาก นายโอ อดีตสามีเก่าไม่เคยรู้มาก่อนว่าตนมีสามีใหม่แล้ว
น.ส.ปัทมาวดี กล่าวว่า แต่เรื่องก็ไม่ได้จบตรงที่เลิกราต่อกัน ต่อมาเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 นายโอ อดีตสามี ได้สืบทราบว่า นายเทพสามีใหม่ของตน มีหมายจับคดียาเสพติด จึงได้ไปแจ้งตำรวจนายหนึ่งของ สภ.เมืองนครราชสีมา ที่รู้จักผ่านเพื่อนของนายโอ ให้ดำเนินการจับกุมนายเทพ สามีใหม่ของตน โดยวันเกิดเหตุนายเทพถูกจับกุม เป็นเวลาช่วงกลางคืนของปลายเดือนพฤศจิกายน 2565 ขณะที่ นายเทพ และตนเองอยู่ภายในร้าน ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาในชุดนอกเครื่องแบบ จำนวน 4 คน ขับรถยนต์มาจอดที่หน้าร้าน และได้นำหมายจับมาแสดงให้นายเทพได้อ่าน ซึ่งก่อนที่จะควบคุมตัวไปนั้น ทางตำรวจชุดจับกุมได้ถามตนถึงอาวุธปืนขนาด 9 มม. ของตนที่ซื้อไว้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งตนมารู้ภายหลังว่า นายโอ สามีเก่า เป็นคนแจ้งเบาะแสให้ทางตำรวจได้ตรวจสอบและยึด เอาไปด้วย โดยจะให้เงินรางวัลกับตำรวจชุดจับกุมนี้เป็นเงิน 2 หมื่นบาท
...
น.ส.ปัทมาวดี กล่าวต่ออีกว่าทางตำรวจได้พูดเชิงข่มขู่ ประกอบกับตนเองคิดว่าไม่มีอะไร เพราะอาวุธปืนเป็นของตนเอง มีใบ ป.4 ได้ขออนุญาตซื้อ ครอบครอง ถูกต้องตามกฎหมาย จึงได้พาตำรวจไปดูที่บ้าน ซึ่งห่างจากร้าน 4-5 กิโลเมตร และเมื่อไปถึงทางตำรวจก็ได้ให้เปิดประตูบ้านนำเข้าไปดูที่จัดเก็บอาวุธปืน ซึ่งได้เก็บแยกกระสุนออกจากรังเพลิงไว้ เมื่อตำรวจเห็นก็ขอนำไปตรวจสอบ ซึ่งตนเองก็พูดแย้งว่าจะเอาไปทำไม ไม่ใช่เกี่ยวกับหมายจับกับนายเทพ อีกทั้งยังมีเอกสารหลักฐานการขออนุญาต แสดงว่าอาวุธปืนซื้อมาถูกต้อง แต่ตำรวจไม่สนใจ ยืนยันขอนำไปตรวจสอบอย่างเดียว พร้อมนำตนเองซึ่งเป็นเจ้าของอาวุธปืนไปด้วย
“เมื่อไปถึง สภ.เมืองนครราชสีมา ทางตำรวจได้ขอบัตรประชาชนตนไป และได้เสียบกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อตรวจสอบ ซึ่งในระบบก็ยืนยันว่าเป็นอาวุธปืนที่ซื้อมา และตนเป็นผู้ครอบครองก็ถูกต้อง แต่หลังจากที่ตรวจสอบแล้ว ทางตำรวจบอกว่าหากอยากได้อาวุธปืนคืนก็ต้องนำเงิน จำนวน 3 หมื่น มาให้ ตนเองถึงกับงง ทำอะไรไม่ถูก เมื่อเจอเหตุการณ์อย่างนี้ และก็มารู้ภายหลังว่า นายโอ อดีตสามี เบี้ยวเงินจำนวน 2 หมื่นบาท ที่ตกลงจะให้เป็นรางวัลกับทางตำรวจชุดจับกุมสามีใหม่ และยึดอาวุธปืนของตน ซึ่งหลังจากตำรวจจับกุมสามีใหม่แล้ว นายโอ อดีตสามีกลับเบี้ยวไม่จ่าย ตำรวจจึงมาเรียกที่ตนเพิ่มเป็น 3 หมื่นบาท” น.ส.ปัทมาวดี กล่าว
น.ส.ปัทมาวดี กล่าวว่าตนเองพยายามต่อรองและพยายามจะหาเงินมาให้ทางตำรวจ ช่วงที่ยังหาเงินไม่ได้ก็จะโทรมาพูดคุยต่อรองกับนายตำรวจนายหนึ่ง ซึ่งตำรวจด้วยกันเรียกว่า “สารวัตร” อยู่ตลอดแทบทุกวัน จนกระทั่งเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2566 ตนเองได้รวบรวมเงินมาได้ 3 หมื่นบาท ก็ได้ติดต่อไปที่นายตำรวจคนดังกล่าว เพื่อขอไถ่อาวุธปืนคืน กลับได้คำตอบว่าอาวุธปืนได้นำไปจำนำแล้ว และหากจะได้คืนก็ต้องนำเงินจำนวน 3 หมื่นบาท พร้อมดอกเบี้ยอีก 1 หมื่น 5 พันบาท มาไถ่ ทำให้ตนรู้สึกว่าชักไม่ชอบมาพากล เพราะเวลาตนโทรศัพท์พูดคุยกับตำรวจนายดังกล่าว ก็ถูกข่มขู่และบ่ายเบี่ยงตลอด และพูดว่าไม่ได้เอายึดอาวุธปืนของตนไป และยังยืนยันว่าไม่ได้มีการบันทึกตรวจยึดไว้เลย
น.ส.ปัทมาวดี กล่าวว่า ตลอดเวลาที่พูดคุยตนเองได้บักทึกคลิปเสียงนายตำรวจคนนี้ไว้ และเชื่อว่าอาวุธปืนของตนเองนั้น ไม่สามารถนำกลับมาคืนให้ได้แล้ว จึงได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครราชสีมา ไว้เป็นหลักฐาน เพราะเกรงว่าจะมีคนนำไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย และหากเกิดเหตุอะไรขึ้นจริง ตนเองก็จะกลายเป็นแพะรับบาปไปในที่สุด