"เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ" รองเลขาธิการ ปปง. แจ้งความ "อัจฉริยะ" หมิ่นประมาท-PDPA เรียกค่าเสียหาย 10 ล้าน พร้อมทวงเงิน 2 หมื่น ที่ยืมไปนานแล้ว ลั่นจะเอาไปทำบุญล้างซวย ยันไม่เกี่ยวข้องเรื่องหิ้วเงินสารวัตรซัว 6 ล้านให้ชูวิทย์ แย้มเตรียมดำเนินคดีทนายดังเป็นรอบต่อไป
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 28 มีนาคม 2566 พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ธนรัตน์ สุวรรณดี สว.(สอบสวน) สน.พหลโยธิน เพื่อเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือ PDPA กรณีเมื่อวานนี้ (27 มี.ค.) นายอัจฉริยะ ได้ไปแจ้งความที่กองบังคับการปราบปราม ให้ดำเนินคดีอาญากับตำรวจ 4 นาย ที่นำเงินจำนวน 6 ล้านบาท จาก สารวัตรซัว ไปมอบให้ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ซึ่ง นายอัจฉริยะ ได้มีการนำรูปภาพของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ มาเปิดเผย และให้สัมภาษณ์พาดพิงระบุชื่อ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการ ปปง. ว่า เป็นคนนำเงินไปให้ และยังระบุว่า พบเส้นทางการเงินจากเว็บพนันออนไลน์ โอนเข้าบัญชีภรรยาของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ จำนวนหลายล้านบาทด้วย
พล.ต.ต.เอกรักษ์ เปิดเผยภายหลังนำหลักฐานเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนว่า ที่ตนต้องเดินทางมาแจ้งความวันนี้ เนื่องจากเมื่อวานนี้ อัจฉริยะ ได้ให้สัมภาษณ์โดยมีถ้อยคำที่พาดพิงถึงตนและภรรยา รวมถึงยังพูดถึงตำแหน่งหน้าที่ของตน ทำให้สำนักงาน ปปง. เสียหาย ทั้งที่ตนไม่ได้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้เลย
...
โดยเหตุการณ์ในรูปภาพที่มีบุคคล 2 คน ยืนอยู่พร้อมถุงเงินนั้น ยืนยันว่า ตนไม่ได้ไป และไม่ได้อยู่ในที่ดังกล่าวเลย ท้าให้ตรวจสอบได้ทุกอย่าง เพราะวิทยาศาสตร์โกหกไม่ได้ ซึ่งตนเองเกี่ยวข้องกับบุคคลในรูปเพียงแค่เป็นทางผ่านเท่านั้น คือเมื่อต้นปี 2565 ตั้งแต่ตนยังไม่ได้มาดำรงตำแหน่งที่ ปปง. ตนได้แนะนำให้ทั้ง 2 คน ในภาพรู้จักกัน แต่หลังทั้ง 2 คน แลกเบอร์กัน ตนก็ไม่รู้เรื่องอีกเลย ว่าเขาติดต่ออะไรกัน
ซึ่งส่วนตัวตนรู้จักกับบุคคลซ้ายมือ เพราะตอนที่ตนเป็น ผกก.สส.บก.น.6 เจ้าตัวได้ค้าขายอยู่ในเขตเยาวราช จึงได้เจอกันบ้าง และภรรยาตนกับภรรยาอีกฝ่ายก็รู้จักกัน โดยตอนที่แนะนำให้รู้จักกันกับ พล.ต.ท.ในภาพ ตนทำงานอยู่ที่ บช.ภ.6 ไม่ค่อยอยู่ที่กรุงเทพมหานคร เลยไม่รู้ว่าเจ้าตัวประกอบธุรกิจสีเทาหรือไม่ แล้วตอนที่ติดต่อมาบุคคลในภาพก็บอกว่า อยากจะทำบุญ และติดต่อธุรกิจกับ นายชูวิทย์ เป็นแฟนคลับของ นายชูวิทย์ ตนจึงแนะนำให้รู้จักกับ พล.ต.ท.ในภาพ เพราะว่า พล.ต.ท.สนิทสนมกับ นายชูวิทย์ แต่ในส่วนของตนเองนั้น ไม่ได้รู้จักกับ นายชูวิทย์ เป็นการส่วนตัว อาจเคยเจอและพูดคุยกันบ้าง แต่ยืนยันว่า ตนไม่เคยไปที่โรงแรมเดวิส
นอกจากนี้ นายอัจฉริยะ ยังได้พาดพิงถึงภรรยาของตนว่า ได้รับเงินโอนจากเครือข่ายพนันออนไลน์ ซึ่งยืนยันว่าไม่เป็นความจริง โดยภรรยาตนประกอบอาชีพสุจริต เป็นเซลล์ขายไม้อัด ทำงานบ้านเอง ไม่จ้างคนใช้ ธุรกรรมทางการเงินสามารถตรวจสอบได้หมด ซึ่งหลังจาก นายอัจฉริยะ ให้สัมภาษณ์เมื่อวาน พอตนกลับบ้านไป ตนเลยถูกภรรยาถามว่า ภรรยาคนไหนที่มีเงินหลายล้านเข้าบัญชี
ส่วนภาพคู่ของตนกับชายคนหนึ่งที่ นายอัจฉริยะ อ้างว่า เป็นคนเคลียร์คดีพนันออนไลน์นั้น ก็ไม่เป็นความจริง โดยคนในภาพเป็นลูกชายของเพื่อนตน ซึ่งเป็นนักการเมืองท้องถิ่น จังหวัดอ่างทอง เหตุการณ์ในภาพคือ ตนไปบรรยายอบรมที่โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา พอเจอกัน เจ้าตัวเลยขอถ่ายรูปไปให้พ่อดูเท่านั้น แม้แต่เบอร์โทรก็ยังไม่มี
ส่วนกับสารวัตรซัวนั้น ตนก็ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว และไม่เคยติดต่อกัน แต่ยอมรับว่าหลายปีก่อน ตอนที่ตนยังเป็นตำรวจ เคยมีคนพาสารวัตรซัวมาสวัสดี ตนก็รับไหว้ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร
สำหรับกรณีที่มีการกล่าวหาว่าตนใช้ตำแหน่งหน้าที่ในสำนักงาน ปปง. คอยเคลียร์คดีให้กับเว็บพนันออนไลน์ ยืนยันว่า ไม่มี เพราะอำนาจหน้าที่ทำไม่ได้อยู่แล้ว ตำแหน่งของตนจะรับผิดชอบแค่งานนโยบายด้านยุทธศาสตร์ การกำกับดูแลสถาบันการเงิน และการฝึกอบรมเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับการยึดทรัพย์
พล.ต.ต.เอกรักษ์ กล่าวอีกว่า วันนี้ตนมาดำเนินคดีกับ นายอัจฉริยะ ก่อน เพราะมาลามปามถึงภรรยาที่ตนเคารพ ส่วน ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ที่ก็พาดพิงถึงตน ขอให้รอเป็นรอบสอง ทั้งนี้ ตนก็ไม่ทราบจุดประสงค์ที่ นายอัจฉริยะ มาพาดพิงถึงตน ซึ่งส่วนตัวรู้จักกับ นายอัจฉริยะ มานานแล้ว ตั้งแต่ตนยังเป็นรองผู้บังคับการตำรวจจราจร นายอัจฉริยะ ยังเคยเดือดร้อน มาขอยืมเงินตน 20,000 บาท ตนก็ไม่เคยทวง เจอกันก็ทักทายปกติ ซึ่งตนมองว่า หาก นายอัจฉริยะ มีข้อสงสัยอะไร ก็ให้โทรศัพท์มาถามตนก็ได้ ไม่ใช่ไปให้สัมภาษณ์ให้ตนเสียหาย
...
โดยที่ตนมาแจ้งความวันนี้ จะเรียกค่าเสียหายจาก นายอัจฉริยะ จำนวน 10 ล้านบาท พร้อมกับเปลี่ยนใจจะทวงเงิน 20,000 บาท ที่ นายอัจฉริยะ ติดเอาไว้ด้วย จะเอาเงินไปทำบุญล้างซวย และหากหลังจากนี้พิจารณาแล้วพบความผิดข้อหาไหนเพิ่มเติมอีก ตนก็จะดำเนินการทั้งหมดแบบเต็มคาราเบล
ด้าน พ.ต.ท.ธนรัตน์ กล่าวว่า จะรวบรวมพยานหลักฐานเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาและดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องต่อไป.