“ผบช.ก.” ยันแจ้งข้อหา “สารวัตรซัว” แน่ เผยคดีคืบหน้าไป 50 เปอร์เซ็นต์ แต่ต้องเก็บรายละเอียดเส้นทางการเงินเยอะ เพราะมีบริษัทนอมินีถึง 60 บริษัทและตัวบุคคลอีก 150 คน ให้พยานหลักฐานแน่นที่สุด ถ้าพบเกี่ยวพันถึงนายตำรวจระดับ “นายพล” ถูกดำเนินคดีแน่ ด้านจเรตำรวจ แจงความคืบหน้าสอบนายตำรวจเกี่ยวพันบ่อนพนันออนไลน์ เรียกสอบปากคำ 4 นักร้องเรียนเพื่อขอข้อมูล พร้อมขอขยายเวลาสืบสวนกรณี “นายพล จ.” ออกไปอีก 30 วัน โฆษกสถานทูตจีนแถลง ร่วมมือกรณีคนจีนทำผิดในไทยเต็มที่ แย้มมีกลุ่มอิทธิพลที่สามพยายามใช้ปัญหานี้ใส่ร้ายป้ายสีประเทศจีน ทำลายความร่วมมือฉันมิตรระหว่างจีน-ไทย

ความคืบหน้ากรณีตำรวจเข้าไปเกี่ยวพันโต๊ะพนันออนไลน์ เปิดเผยจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 2 มี.ค. พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. เผยการตรวจสอบเส้นทางการเงินและธุรกิจเครือข่าย พ.ต.ท.วสวัตติ์ มุครสกุล หรือ “สารวัตรซัว” อดีต สว.ฝ่ายโยธาธิการ 2 กองโยธาธิการ สำนักงานส่งกำลังบำรุง พัวพันเว็บไซต์พนันว่า ขณะนี้คดีมีความคืบหน้าไปประมาณ 40-50 เปอร์เซ็นต์ ทั้งเรื่องการตรวจสอบบริษัทนอมินีและทรัพย์สินที่ยักย้ายถ่ายเท ขอให้ใจเย็นอีกนิด จากการตรวจสอบบริษัทนอมินี 60 บริษัทและบุคคล 150 คนที่เกี่ยวข้องกับสารวัตรซัว พบข้อมูลหลักฐานเชื่อมโยงกันมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนจะเชื่อมโยงกับนายพลตามที่เป็นข่าวหรือไม่ ยังตอบไม่ได้ แต่ขอยืนยันว่า หากพบใครเกี่ยวข้องจะดำเนินทางกฎหมายแน่นอน

“ขั้นตอนต่อไปจะเรียกตัวบุคคลมาสอบปากคำหาความเชื่อมโยงเส้นทางการเงิน รับประกันว่ามีอะไรดีๆแน่นอน ขอยืนยันว่าคดีนี้ไม่หนักใจหรือติดขัดอะไร เราทำงานกันเต็มที่ทุกวัน บางคนอาจมองว่าล่าช้า แต่ขอบอกว่าเราพยายามรวบรวมพยานหลักฐานให้แน่นหนาที่สุด ไม่ทำงานแบบลวกๆขอไปที เชื่อว่าคดีนี้ไปถึงขั้นตอนการแจ้งข้อหาสารวัตรซัวได้แน่ หากเจ้าตัวไม่มารับทราบข้อกล่าวหาจะออกหมายจับ หากหนีออกนอกประเทศจะประสานขอตัวส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ตามล่าตัวไปเรื่อยๆ คดีนี้ทำงานกันหามรุ่งหามค่ำทุกวัน ระดมสมองนักสืบฝีมือดีมาช่วยกัน คดีก็คืบหน้าไปทุกวัน ยืนยันว่าสามารถแจ้งข้อหาสารวัตรซัวและผู้เกี่ยวข้องได้แน่นอน” ผบช.ก.กล่าว

...

ที่สำนักงานจเรตำรวจ (จต.) พล.ต.ต.สันติ์นที ประยูรรัตน์ ผบก.กองตรวจราชการ 4 สำนักงานจเรตำรวจ ฐานะโฆษกจเรตำรวจ เผยความคืบหน้าการตรวจสอบเรื่องการพนันออนไลน์ว่า กรณีมาชี้แจงวันนี้เป็นกรณีนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ มาให้ถ้อยคำที่จะเป็นประโยชน์เรื่องที่พาดพิงถึงข้าราชการตำรวจบางนายว่า มีการกระทำในเรื่องที่น่าจะผิดกฎหมาย ระบุว่ามีหลายเรื่องที่เคยร้องเรียนไปก่อนหน้านี้แล้วยังไม่คืบหน้า อย่างแรกต้องขอบคุณที่ตั้งใจดำเนินการและพยายามดูไทม์ไลน์ของการทำงานของผู้ตรวจราชการ สำนักงานจเรตำรวจ กรณีผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ซึ่งนายอัจฉริยะมาร้องเรียนไว้แล้วและกล่าวถึงว่า สำนักงานจเรตำรวจมีความเห็นยุติเรื่อง

“ตรวจสอบเรื่องดังกล่าว ขอชี้แจงดังนี้ ข้อเท็จ จริงกรณีนี้ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งสำนักงานจเรตำรวจแต่งตั้งขึ้นใช้เวลาดำเนินการนับตั้งแต่ประธานรับทราบจนกระทั่งเรื่องเสร็จสิ้นใช้ระยะเวลา 33 วัน ในภาพรวมประเด็นที่ร้องเรียนมาเกือบทั้งหมดเป็นประเด็นที่มีเหตุสงสัยมีมูล จึงส่งเรื่องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติผ่านทางผู้บังคับบัญชาแต่ละลำดับชั้นพิจารณา เพื่อตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงต่อไป เรื่องดังกล่าวไม่ได้ยุติเรื่องยังดำเนินการต่อเนื่อง ทั้งนี้ จเรตำรวจมีมติต้นเดือน ก.พ. จากการตรวจสอบหลักฐานเบื้องต้นว่ามีมูลต้องสงสัยเชื่อว่ามีหลายประเด็นที่น่าจะเกี่ยวข้องกับการกระทำในบางเรื่องที่ดูแล้วไม่เหมาะสมและอาจผิดกฎหมาย ตามที่ร้องเรียนมา 5-6 ประเด็น มี 3-4 ประเด็นที่สอดคล้อง ได้ดำเนินการโยกย้ายออกจากพื้นที่เรียบร้อยแล้ว จเรตำรวจชี้ว่า ให้ดำเนินการตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินการทางวินัยต่อไป” โฆษก จต.กล่าว

ถามถึงกรณีการร้องเรียนเกี่ยวกับการเลื่อนยศให้นายตำรวจยศ ร.ต.อ.ในพื้นที่ภาคตะวันออก ที่พัวพันกับการพนันออนไลน์ พล.ต.ต.สันติ์นที กล่าวว่า ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับตำรวจบางนายที่มีความเกี่ยวข้องพนันออนไลน์และในการแต่งตั้งโยกย้ายที่ผ่านมาได้เลื่อนลำดับสูงขึ้น เรื่องนี้เดิมเขามีชั้นยศ ร.ต.อ. แล้วการแต่งตั้งรอบนี้เขาเป็นว่าที่ พ.ต.ต. แต่จริงๆแล้วเดิมเขาเป็นสารวัตรอยู่แล้ว การเป็นสารวัตรครองยศได้ตั้งแต่ ร.ต.อ.ถึง พ.ต.ท. รอบนี้เมื่อครบ ร.ต.อ.ก็เลื่อนเป็นว่าที่ พ.ต.ต. อาจเป็นความเข้าใจผิดคิดว่าได้เลื่อนสูงขึ้น ส่วนผู้บังคับการที่ถูกร้องได้โยกย้ายไปอยู่ตำแหน่งอื่นไม่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ตร.อยู่ระหว่างพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ส่วนเรื่องอื่นที่ร้องเรียนดำเนินการตามกรอบเวลาและพยานหลักฐานไปเรียบร้อยแล้ว

“ส่วนความคืบหน้าการตรวจสอบนายพลตำรวจชื่อย่อ จ. ตามที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสั่งการให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตรวจสอบ ขณะนี้อยู่ระหว่างการเชิญผู้ร้อง ทั้งทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด นายสันธนะ ประยูรรัตน์ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ และนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ เข้าให้ข้อมูลในประเด็นที่จำเป็น และจะพิจารณาว่าจำเป็นต้องเชิญนายพล จ. เข้าให้ข้อมูลหรือไม่ แต่ยอมรับว่าทางจเรตำรวจทราบว่านายพล จ. คือใคร อย่างที่สังคมเข้าใจ และมีข้อมูลของนายพล จ. อยู่แล้ว แต่ยังต้องการข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้ร้อง ขอขยายเวลาสืบสวนไปอีก 30 วัน จากเดิมที่ ผบ.ตร.กำหนดให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน หากคณะกรรมการดำเนินการล่าช้ากว่ากรอบกำหนด ไม่ใช่เฉพาะผู้ร้องที่รู้สึกว่าล่าช้า คณะกรรมการอาจถูกพิจารณาทัณฑ์เช่นเดียวกัน” พล.ต.ต.สันติ์นทีกล่าว

วันเดียวกันโฆษกสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ให้คำชี้แจงเรื่องที่มีข่าวชาวจีนเกี่ยวข้องธุรกิจสีเทาในไทยระบุว่า รัฐบาลจีนเรียกร้องให้ชาวจีนและวิสาหกิจจีนที่อยู่นอกประเทศ เคารพ ปฏิบัติตามกฎหมาย และขนบธรรมเนียมประเพณีในประเทศหรือที่อาศัยอยู่มาตลอด และดำเนินธุรกิจที่ชอบด้วยกฎหมาย ตลอดจนตอบแทนสังคมในท้องถิ่น ซึ่งชาวจีนปฏิบัติตามข้อเรียกร้องดังกล่าว ชาวจีนแนะวิสาหกิจที่อยู่ในประเทศไทยสร้างคุณูปการอันใหญ่หลวงแก่การพัฒนาเศรษฐกิจของไทย ทั้งยังมีส่วนร่วมในงานการกุศล เป็นสิ่งที่ประจักษ์ชัดอยู่ทุกเมื่อ

“จากการติดตามข่าวที่เกี่ยวข้องจากสื่อไทยเมื่อเร็วๆนี้ ฝ่ายจีนจะสนับสนุนทางการไทยให้ดำเนิน คดีตามกฎหมายกับการกระทำมิชอบของชาวจีนบางรายในประเทศไทย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องระหว่างจีน-ไทย มีความร่วมมืออันใกล้ชิดในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ อาทิ การพนันออนไลน์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สิ่งที่ต้องเน้นย้ำคือการกระทำอันมิชอบนั้นเป็นเพียงการกระทำของคนบางกลุ่มเท่านั้น ไม่ใช่การกระทำของชาวจีนและวิสาหกิจจีนทั้งหมดในประเทศไทย”

...

โฆษกสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศ ไทยระบุต่อไปว่า การนำประเด็นเหล่านี้มาคัดค้านความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า ถือเป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผล สิ่งที่ต้องระมัดระวังคือ มีกลุ่มอิทธิพลที่สามพยายามใช้ปัญหานี้ใส่ร้ายป้ายสีประเทศจีน ทำลายความร่วมมือฉันมิตรระหว่างจีน-ไทย ฝ่ายจีนจะคัดค้านอย่างเด็ดขาด และจะร่วมมือกับประชาชนชาวไทยทั้งหลายเพื่อรักษาแนวโน้มการพัฒนาที่ดีของความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ จีนและไทยเป็นเพื่อนบ้านที่ดี หุ้นส่วนที่ดี และพี่น้องที่ดี หลายปีมานี้ทั้ง 2 ประเทศช่วยเหลือซึ่งกันและกันเมื่อเผชิญกับโรคโควิด-19 และเอาชนะความยากลำบากร่วมกัน ส่งผลให้ความเป็น “จีนไทยพี่น้องกัน” ของประชาชนทั้ง 2 ประเทศมีความแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น